วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Plasmacluster zone เหมาะสำหรับคนที่ไม่ควรเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค คนที่มีภูมิต้านทานต่ำ


โซนทำลายเชื้อโรคทางอากาศ
Plasmacluster safety zone
.
สามารถทำได้เอง กำหนดพื้นที่ตามที่ต้องการ ใช้ในโรงพยาบาล โรงงาน โรงเรียน ที่ทำงาน บ้าน แม้กระทั่ง เตียงนอน
Plasmacluster zone เหมาะสำหรับคนที่ไม่ควรเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค คนที่มีภูมิต้านทานต่ำ คนที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน เช่น ผู้ที่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อโรคทางเดินหายใจ ผู้ที่อยู่ในช่วงที่มีการระบาดของโรคทางเดินหายใจ
.
โซนทำลายเชื้อโรคทางอากาศ เป็นโซนที่เกิดขึ้นจากการเปิดเครื่องฆ่าเชื้อโรคทางอากาศ ระบบพลาสม่าคลัสเตอร์ (Plasmacluster air sterilizer) ทำให้โซนที่ถูกกำหนดไว้ มีปริมาณไอออนลอยอยู่เป็นจำนวนมาก ไอออนเหล่านี้ถูกผลิตพ่นออกมาจากเครื่องอย่างต่อเนื่อง

.
พลาสม่าคลัสเตอร์ไอออนที่ล่องลอยในโซนนี้ จะทำลายเชื้อโรคทันที ที่เชื้อโรคเข้ามาปรากฎในโซน ไม่ว่าจากการหายใจ ไอ จาม จากคน หรือ ลมจากท่อปรับอากาศส่วนกลาง ที่ย่างกรายเข้ามาใน Plasmacluster zone แม้กระทั่งเชื้อโรคที่ติดตามผิวหนัง เสื้อผ้า ก็จะถูกพลาสม่าคลัสเตอร์ไอออนทำลายทันทีที่เข้ามาในโซน

.
Plasmacluster zone มีประโยชน์ในการใช้ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคเชิงรุก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการรับเชื้อโรคในระยะประจันหน้า ณ จุดปะทะ (ระบบกรองอากาศ หรือ UV ไม่สามารถทำได้) ... จากการศึกษาพบว่า ถึงเราจะทำความสะอาดห้องหรือสถานที่ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือ เปิด UV เข้มข้น แล้วก็ตาม ห้องเหล่านี้ก็สะอาดในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เมื่อมีคนเข้ามา คนนี่แหละเป็นพาหะนำเชื้อโรคเข้าในห้องอีกครั้ง เชื้อโรคจะติดตามตัวมา หรือ การไอ จาม หายใจ ภายในห้อง ทำให้เชื้อโรคกระจายได้ใหม่ทั่วห้อง ซึ่งไม่มีอาวุธอะไรมาจัดการมัน
... อีกแหล่งเชื้อโรคหนึ่งคือ ท่อปรับอากาศส่วนกลาง ที่พ่นลมเย็นเข้ามาในแต่ละห้อง เป็นท่อกระจายเชื้อโรคดีๆนี่เอง ที่เกิดจากส่วนของมันเองที่เชื้อราเชื้อแบคทีเรียเข้ามาเจริญเติบโตภายในท่อหล่อเย็น หรือ เกิดจากเชื้อโรคที่แพร่จากคนเป็นพาหะ จากห้องหนึ่งสู่อีกห้องหนึ่ง
... “ป้องกัน” ดีกว่า “รักษา” ถ้าเป็นแล้วแย่ จะแก้ไม่ทัน

.
โซนพลาสม่าคลัสเตอร์เหมาะกับการใช้ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงการปนเปื้อนของเชื้อโรคสูง หรือ จุดที่มีการเผชิญหน้ากันของคนทำงาน หรือ ต้องการให้มีการปนเปื้อนเชื้อโรคต่ำสุด เช่น โรงพยาบาล (โดยเฉพาะ OPD/ER/ENT) , โรงงาน , โรงเรียน , office building , โรงแรม








.
Plasmacluster zone สามารถสร้างครอบคลุมพื้นที่ได้ทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็น 9 ตร.ม. หรือ มากกว่า 2000 ตร.ม. ตามรูปแบบหลากหลายของอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นการตั้ง ณ จุดตรวจ วางบนโต๊ะ วางบนพื้น แขวนผนัง ติดตั้งในปลายท่อลม โดยสามารถสร้างโซนครอบคลุมได้ในพื้นที่ระบบเปิดหรือปิดอากาศก็ได้




.
ผลการทดสอบจาก 28 สถาบันวิจัยนานาชาติ พลาสม่าคลัสเตอร์ไอออนสามารถทำลายเชื้อไวรัส เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย รวมถึง เชื้อรุนแรงต่างๆ เช่น เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ เชื้อวัณโรค ด้วยการทำลายเปลือกผิวนอกของเชื้อโรค


.
งานวิจัยล่าสุดจากโรงพยาบาลวัณโรคจอร์เจีย เครือข่ายขององค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันว่า Plasmacluster HD 100000 ลดความเสี่ยงลดจำนวนบุคลากรการแพทย์ที่จะติดเชื้อวัณโรคในโรงพยาบาลวัณโรค ได้ถึง 4 เท่าตัว





.
พลาสม่าคลัสเตอร์ไอออนจะทำลายผิวนอกของเชื้อโรคทันทีที่ปะทะกัน แต่เราก็ต้องคำนึงถึงความรวดเร็วและระยะห่างด้วย ความเข้มข้นของพลาสม่าคลัสเตอร์ไอออนที่สูงๆเป็นตัวแปรของประสิทธิภาพ ให้สูงตามด้วย
.
การนำ Plasmacluster ใช้ตามบ้าน แค่ระดับความเข้มข้น 7000 ก็อาจเพียงพอ แต่หากมาใช้ในพื้นที่เสี่ยงสูง ควรใช้ Plasmacluster HD อย่างน้อย 25000 ไอออนต่อซีซี

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2559

รังสียูวีจากแสงแดดมีทั้งคุณประโยชน์และโทษต่อมนุษย์ โดย รังสียูวี ในขนาดต่ำๆ จะช่วยในการสังเคราะห์วิตามินดีที่ผิวหนัง แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่สูงเกินไป รังสียูวีบีจะทำลายเซลล์ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ทำให้เกิดผิวไหม้แสบลอก ผิวหมองคล้ำ


รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ รังสียูวี มีอยู่ 3 ชนิด คือ 
1. รังสียูวีซี (UV C) เป็นรังสีที่อันตรายที่สุด แต่จะไม่ถึงพื้นโลก เนื่องจากจะมีโอโซนกั้นอยู่ โดยรังสีนี้หากถูกผิวหนังจะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้ และอาจกระทบต่อดวงตา เป็นต้อกระจกได้ 
2.รังสียูวีบี (UV B) มาถึงผิวโลก และมีผลต่อผิวไหม้ได้ หรือที่เรียกว่า ซันเบิร์น แต่ป้องกันได้ โดยการทาครีมกันแดด และ
3.รังสียูวีเอ (UV A) จะทะลุเข้าไปภายในผิวหนัง ทำให้แก่เร็วขึ้น




รังสียูวีจากแสงแดดมีทั้งคุณประโยชน์และโทษต่อมนุษย์ โดย รังสียูวี ในขนาดต่ำๆ จะช่วยในการสังเคราะห์วิตามินดีที่ผิวหนัง แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่สูงเกินไป รังสียูวีบีจะทำลายเซลล์ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ทำให้เกิดผิวไหม้แสบลอก ผิวหมองคล้ำ
ส่วนรังสียูวีเอ เมื่อได้ผ่านลงไปได้ถึงชั้นหนังแท้ และได้รับต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ จะทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำลายไฟโบรบลาสต์ จึงทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำกดภูมิคุ้มกันของผิวหนัง ทำลาย DNA ทำให้เซลล์กลายพันธุ์และแบ่งตัวผิดปกติ ตามมาด้วยเนื้องอกหรือมะเร็งผิวหนังได้ โดยผู้ที่มีผิวขาวจะมีความเสี่ยงมากกว่าเนื่องจากมีเมลานินที่ช่วยปกป้องอยู่น้อยกว่านั่นเอง
นอกจากนี้ รังสียูวี ยังส่งผลก่อให้เกิดอันตรายต่อดวงตาด้วย แต่มีผลค่อนข้างน้อย ถ้าได้รับ รังสียูวี ความเข้มสูง จะเกิดกระจกตาอักเสบมีอาการแสบตา น้ำตาไหล แพ้แสง ตาแดง ส่วนระยะยาวจะเกิดต้อลม ต้อกระจก ในอนาคตจอตาอาจเสื่อมได้
ครีมกันแดดที่ใช้อยู่ เป็นแบบดูดซับรังสียูวี หรือ สะท้อนรังสียูวี ... ถ้าครีมดูดซับรังสียูวีไว้ ก็จะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นบนผิวหน้า ทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาด้วย ... สารเคมีประเภท PABA จะเป็นสารดูดซับรังสียูวี ที่มักใช้ในครีมกันแดดทั่วไป

ครีมกันแดดชนิดเคมี (Chemical Sunscreen) เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ทำหน้าที่ในการปกป้องแสงแดด ด้วยการดูดซับรังสีเข้าผิวหนังแล้วเปลี่ยนเป็นความร้อน เพื่อป้องกันไม่ให้แสงผ่านลงในชั้นผิวหนังได้ (เนื้อครีมจะเป็นข้น ๆ น้ำนมเหมือนเนื้อครีมทั่วไป ซึมซับได้ง่าย) ซึ่งหลังจากโดนแดดสักพัก สารเคมีเหล่านี้ก็จะเสื่อมสภาพ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เราต้องทาครีมกันแดดทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง
...ถ้าครีมดูดซับรังสียูวีไว้ ก็จะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นบนผิวหน้า ทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาด้วย  สารป้องกันแดดประเภทนี้บางชนิดจะดูดซับได้เฉพาะรังสี UVA หรือ UVB หรือทั้งสองอย่าง สารเคมีที่ใช้ผสมในครีมกันแดด คือ Panimate O, Bensophenone, Cinnamates, Antranilate, Homosalate และ Oxybenzene ซึ่งครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้ง่ายขึ้นด้วย โดยเฉพาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่าย
สารที่กันได้เฉพาะรังสี UVA คือ benzophenones และส่วนที่กันได้เฉพาะรังสี UVB คือ cinnamates, PABA, PABA derivatives



วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2559

ฝ้า กระ เกิดจากการกระตุ้นการสร้างเม็ดสี ซึ่งมีหลายสาเหตุด้วยกัน รักษาป้องกันอย่างไร

กระ ส่วนใหญ่เกิดจากแสงแดด ความร้อน และอายุ แต่กรณีฝ้ามักจะมีปัจจัยฮอร์โมนเข้ามาค่อนข้างเยอะ

การเกิดฝ้าจากกรรมพันธุ์ โอกาสเป็นซ้ำหลังจากหายไป ก็กลับมาได้ โดยมีปริมาณเท่าเดิมหรือลดกว่าเดิมนิดหน่อย จึงไม่คุ้มกับการทุ่มเงินเสียเวลารักษาในกรณีเช่นนี้

เวลาฮอร์โมนเพศหญิงมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนอย่างรวดเร็ว อย่างเช่น ตั้งครรภ์ ไม่ใช่ฮอร์โมนเพิ่มขึ้นเท่านั้น บางครั้งการที่ฮอร์โมนลดลงอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน อย่างช่วงเข้าสู่วัยทอง วัยหมดประจำเดือน ก็มีฝ้าขึ้นได้เหมือนกัน

การใช้เลเซอร์ในรักษา ต่อใช้เป็นเลเซอร์ที่มีความแม่นยำในการขูดลอกอยู่สูงมาก ผิวที่ถูกขูดลอกไป ก็ยังเป็นชั้นที่ปกป้องผิวหนัง เมื่อไรที่ขูดลอกออกไปปุ๊บ ชั้นผิวหนังที่ถูกขูดลอกจะหายไป มันจะบางไปชั่วระยะหนึ่ง บางคนประมาณ 3 อาทิตย์ ถึง 6 เดือน เพราะฉะนั้นถ้าดูแลตัวเองไม่ดีในช่วง 6 เดือนแรก ก็มีโอกาสจะกลับมาเป็นซ้ำ และเราพบว่าการเป็นซ้ำมากกว่า 80% ใหญ่ขึ้นแน่ๆ เพราะการที่เอาเลเซอร์ไปตัด เราไม่สามารถตัดพอดีเป๊ะกับฝ้า เรามักตัดให้กว้างกว่าเสมอ อาจ 1/2 มม. หรือ 1 มม. ซึ่ง 1/2 มม. หรือ 1 มม. ทุกครั้งที่เราทำ มันก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อย แต่ที่เราพบแน่ๆ คือ จะดำขึ้นกว่าเดิม

ในการรักษาอีกแนวทาง ก็มีการจัดการกับตัวทำสร้างเม็ดสี  แต่ก็พบว่าขณะจัดการกับตัวสร้างเม็ดสี ไม่สามารถจัดการกับมันทั้งหมดได้ ส่วนหนึ่งถูกทำลายทิ้งไปจริง อีกส่วนหนึ่งยังคงอยู่ ผลที่ได้เหมือนจะดีขึ้น แต่ภาพที่เห็นกลับแย่ลงกว่าเดิม เพราะว่ากลายเป็นกระดำกระด่าง โดยเฉพาะคนผิวเข้ม เวลามาทำลาย ก็จะกลายเป็นดวงขาวๆ

ยาทาฝ้าก็ถูกนำมาใช้เช่นกัน ตัวหลักที่ใช้กันคือ ไฮโดรควิโนน เป็นสารที่ยับยั้งเอนไซม์ทำให้การผลิตเม็ดสีน้อยลง ตัวไฮโดรควิโนนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง จริงๆ แล้ว ตัวไฮโดรควิโนนพัฒนาเพื่อรักษาโรคสมองบางโรค แต่ว่าเมื่อสมัยที่เค้าพัฒนายาตัวนี้ขึ้นมา เรายังไม่รู้จักคิวเทน คิวเทนเป็นสารใหม่ที่รู้จักเมื่อไม่ถึงสิบปีที่แล้วนี่เอง เราเพิ่งมาพบว่าตัวโครงสร้างของไฮโดรควิโนน คล้ายคิวเทนมากๆ ทำงานเหมือนเป๊ะ แต่ประสิทธิภาพดีกว่าสิบเท่า เพราะฉะนั้นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายเรา ตัวไฮโดรควิโนนแรงที่สุดแล้ว

สาเหตุอื่นๆที่ทำให้เกิดฝ้า ที่อาจยังไม่ทราบ

- ไอร้อนจากเตาความร้อนทำครัวทั้งหลาย ก็ทำให้เกิดฝ้าขึ้นได้
- รังสีหน้าจอคอมพ์ การเปลี่ยนทีวีหรือคอมพิวเตอร์ มาเป็น LCD ก็ทำให้มีผลน้อยลง แต่ก็ยังเกิดขึ้นได้อยู่

ส่วนวิธีการปกป้องตัวเองจากแสงแดดง่ายมากๆ คือ ครีมกันแดด ที่ป้องกันรังสียูวีได้ 8-10 ชั่วโมงขึ้นไป


วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ผลวิจัยชี้ “หมอกพิษ” กรุงปักกิ่ง อาจทำนำ้หนักขึ้นจนเป็นโรคอ้วนโดยไม่รู้ตัว ... ไม่ใช่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจอย่างเดียวแล้ว

ผลวิจัยชี้ “หมอกพิษ” กรุงปักกิ่ง อาจทำนำ้หนักขึ้นจนเป็นโรคอ้วนโดยไม่รู้ตัว 


แต่เดิม คิดแค่ว่าหมอกที่เกิดขึ้น เป็นเพียงแค่ฝุ่นละอองขนาดใหญ่ที่หายใจเข้าปอด แล้วจะเกิดการหายใจไม่สะดวกติดขัดแค่นั้น แต่ผลการศึกษาทางวิจัยพบว่าหมอกควันได้มีการพัฒนาตัวเองไปอีกขั้นแล้ว ตั้งแต่การมีอนุภาคที่ขนาดเล็กถึง 2.5 ppm ซึ่งมีพื้นที่ผิวมากมาย เป็นที่เกาะของจุลชีพมากกว่า 1,300 ชนิด และผสมผสานด้วยสารปิโตรเคมีคัลจากโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงสารจากปุ๋ยที่ใช้ในดิน ทำให้เกิดการเกาะติดของสารพิษระเหยมาพร้อมกับหมอกฝุ่นด้วย



หมอกฝุ่นขนาดเล็กมากๆจะกระจายไปได้เร็ว และข้ามประเทศได้ไกลมากขึ้น มีผลต่อการเจ็บป่วยของประชาชนสูงมาก ไม่ใช่แค่ฝุ่นอุดตันหายใจไม่สะดวกแล้ว ยังรวมถึงการเจ็บป่วยในระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการติดเชื้อทางอากาศ เช่น โรคปอดอักเสบ โรคภูมิแพ้ ยังรวมถึงการเกาะติดแน่นที่ถุงลมปอดด้วยสารระเหยคล้ายยางมะตอย ที่เกาะติดผนังถุงลมปอดก็จะเอาไม่ออก ประสิทธิภาพของการหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดก็จะลดต่ำลง มีผลต่อร่างกายในระยะยาวด้วย



งานวิจัยใหม่ยังพบสิ่งที่น่ากลัวคือ หมอกพิษ มีผลต่อ metabolism ของสิ่งมีชีวิต ถึงจะเป็นการทดลองในสัตว์ทดลอง แต่ก็มีแนวโน้มเกิดกับคนได้เช่นกัน

นักวิจัยเผย “หมอกมลพิษ” ของนครหลวงแดนมังกร อาจเป็นสาเหตุชักนำสู่โรคเบาหวาน โรคอ้วน ฯลฯ หลังจากทำการทดลองกับ ‘หนู’ สองกลุ่มเพียงสามสัปดาห์ และพบผลลัพธ์ที่น่าตกตะลึง


     
อ้างอิงการศึกษาซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐบาลจีนพบว่า หนูกลุ่มแรกที่สูดอากาศเสียจากพื้นที่โล่งแจ้งของกรุงปักกิ่ง มีภาวะปอด หัวใจ ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ และมีน้ำหนักตัวมากกว่าหนูอีกกลุ่ม ที่ได้สูดอากาศซึ่งถูกคัดกรองอนุภาคพิษออกไปจนสะอาดแล้ว
     
ทั้งนี้ หนูทดลองแต่ละกลุ่มประกอบด้วยหนูที่ตั้งท้องและหนูรุ่นลูกหลานของพวกมัน ซึ่งต่างถูกเลี้ยงดูด้วยอาหารในปริมาณและประเภทเดียวกัน  เมื่อเวลาผ่านไปเพียง 19 วัน ปอดและตับของหนูตั้งท้องที่สูดอากาศเสีย กลับมีน้ำหนักมากขึ้นและแสดงอาการอักเสบของเนื้อเยื่อ รวมถึงตรวจพบระดับไขมันร้าย (แอลดีแอล-ซี) สูงกว่าร้อยละ 50, ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงกว่าร้อยละ 46 และไขมันรวมสูงกว่าร้อยละ 97
     
นอกจากนั้นยังพบระดับการต่อต้านอินซูลิน (ตัวตั้งต้นของโรคเบาหวานชนิดที่สอง) สูงกว่าหนูทดลองอีกกลุ่มที่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ โดยการเปลี่ยนแปลงข้างต้นทั้งหมด ซึ่งรู้จักกันว่าเป็นภาวะผิดปกติของระบบเผาผลาญอาหาร อาจนำพาไปสู่โรคอ้วน
     
“การค้นพบครั้งนี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่า การได้รับสารพิษแบบเรื้อรังจากมลพิษทางอากาศ เพิ่มความเสี่ยงต่อการพัฒนาตัวของโรคอ้วนได้” จัง จวินเฟิง อาจารย์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมและโลก มหาวิทยาลัยดุ๊กในสหรัฐอเมริกา และผู้เขียนอาวุโสของงานวิจัยชิ้นนี้กล่าว
     
“หนูที่สูดอากาศเสียมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะในช่วงท้ายของการตั้งท้อง และกรณีดังกล่าวก็แสดงออกมาในหนูรุ่นลูกหลาน ซึ่งถูกกักกันไว้ในห้องเดียวกับแม่ของพวกมันเช่นกัน”
     
ผลกระทบเชิงลบของมลพิษทางอากาศแสดงความชัดเจนยิ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แปดของการทดลอง โดยหนูเพศเมียและเพศผู้ที่ได้สูดอากาศเสีย มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และร้อยละ 18 ตามลำดับ สะท้อนถึงปัจจัยด้านเวลา ที่ยิ่งนานก็ยิ่งก่อการอักเสบและการเปลี่ยนแปลงของระบบย่อยอาหาร
     
การศึกษาชิ้นนี้ยังสอดคล้องกับการศึกษาอื่นๆ ซึ่งบ่งชี้ว่ามลพิษทางอากาศนำพาสู่ภาวะความเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) ที่ร่างกายมีสารอนุมูลอิสระมากเกิน และการอักเสบของอวัยวะและระบบไหลเวียนเลือด ตลอดจนภาวะต่อต้านอินซูลินและเนื้อเยื่อไขมันแปลงตัว
     
“หากสามารถนำไปพิสูจน์จนพบว่าเป็นจริงในมนุษย์ การค้นพบเหล่านี้จะช่วยเร่งให้เกิดการตัดลดมลพิษทางอากาศเร็วขึ้น เพราะโรคอ้วนนั้นสร้างภาระหนักด้านการดูแลรักษา” จังกล่าว
     
ทั้งนี้ ผลการศึกษาจะถูกตีพิมพ์ลงวารสารสหพันธรัฐของสมาคมชีววิทยาทดลองแห่งอเมริกัน (FASEB) ฉบับเดือนมี.ค. โดยคณะนักวิจัยได้รับการสนับสนุนจากหลายหน่วยงานของรัฐบาลจีน อาทิ สถาบันวิทยาศาสตร์ธรรมชาติแห่งชาติจีน, กองทุนของห้องปฏิบัติการร่วมด้านการจำลองสิ่งแวดล้อมและการควบคุมมลพิษแห่งรัฐ และสถาบันวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตของประเทศจีน

****************************************
เครดิต  เซ้าส์มอร์นิ่งโพสต์จีน

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด คืออะไร เกิดจากอะไร ป้องกันไม่ได้จริงหรือ

ปัจจุบันเรามักได้ยินข่าวการเสียชีวิตจากเหตุ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดอยู่บ่อยครั้ง เกิดเป็นข้อสงสัยสำหรับใครหลายคนว่า ติดเชื้อในกระแสเลือดคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และสามารถป้องกันได้หรือไม่

ความหมายของ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด



ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด หมายถึง การที่มีเชื้อก่อโรคในกระแสเลือดซึ่งสามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีการเพาะเชื้อหรือวิธีการพิเศษต่างๆ เช่น เทคนิกทางโมเลกุล โดยทั่วไป ร่างกายเกิดการติดเชื้อขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วเชื้อก่อโรคนั้นหลุดเข้าสู่กระแสเลือด ก่อให้เกิดการอักเสบติดเชื้อที่บริเวณส่วนอื่นของร่างกายหรือทั่วทั้งร่างกาย หากเชื้อมีความรุนแรงมาก อาจพัฒนาไปสู่ภาวะช็อก และการทำงานของอวัยวะภายในต่างๆ ล้มเหลว มีอันตรายถึงชีวิต จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เชื้อดังกล่าวได้แก่ จุลชีพต่าง ๆ เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ซึ่งการติดเชื้อทุกส่วนของร่างกายสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ทั้งสิ้น

ทั้งนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การพบเชื้อในกระแสเลือดกับการติดเชื้อในกระแสเลือดนั้นไม่เหมือนกัน กล่าวคืออาจมีการตรวจพบเชื้อในกระแสเลือด แต่ถ้าเชื้อนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดโรคหรืออาการผิดปกติใดๆ อย่างนี้ไม่นับว่าติดเชื้อในกระแสเลือด ในภาวะปกติร่างกายจะมีกลไกการปราบเชื้อที่ปะปนอยู่ในกระแสเลือดอยู่แล้ว การติดเชื้อในกระแสเลือดจึงไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ในคนปกติที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง แต่มักพบภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย หรือเชื้อมีความสามารถที่จะหลบหลีกการทำลายเชื้อโรคของร่างกายได้

อาการแสดง

เมื่อเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการติดเชื้อ เรียกว่า เป็นกลุ่มอาการตอบสนองต่อการอักเสบทั่วร่างกาย (Systemic inflammatory response syndrome; SIRS) ยกตัวอย่าง เช่น

- มีไข้สูงเกิน 38.3 องศาเซลเซียส บางรายอาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
- ชีพจรเต้นเร็วเกิน 90 ครั้งต่อนาทีในผู้ใหญ่
- หายใจเร็วเกิน 24 ครั้งต่อนาที ในผู้ใหญ่
- เม็ดเลือดขาวเพิ่มจำนวนมากขึ้น

นอกจากนั้นยังมีอาการจำเพาะที่ที่เกิดบริเวณอวัยวะที่ติดเชื้อ เช่น อาการปัสสาวะแสบขัด แสดงว่าอาจมีการติดเชื้อที่ระบบขับปัสสาวะ หรือมีอาการไอ เจ็บหน้าอก อาจหมายถึงการติดเชื้อที่ปอด เป็นต้น

การรักษาติดเชื้อในกระแสโลหิต

โดยปกติแพทย์จะนำเลือดไปเพาะเชื้อหาสาเหตุ แต่เนื่องจากกว่าจะเพาะเชื้อได้ต้องใช้เวลา 3-5 วัน ดังนั้นแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมรักษาอาการติดเชื้อไปก่อน ในกรณีที่ได้รับเชื้อรุนแรง ถ้าได้รับยาปฏิชีวนะภายใน 1-2 ชั่วโมง ก็อาจจะมีชีวิตรอด แต่ถ้าให้ไม่ทันก็อาจจะเสียชีวิตได้  อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายอาจใช้ยาปฏิชีวนะรักษาไม่ได้ผล เพราะได้รับเชื้อดื้อยาเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่สามารถรักษาได้



เชื้อโรคที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด มีโอกาสเป็นได้ทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา  เราสามารถรับเชื้อโรคได้จากทางไหนบ้าง

1. จากภายในร่างกายของเราเอง โดยปกติเราจะมีเชื้อโรคที่อาศัยอยู่ภายในร่างกายของเรา ได้แก่ ทางเดินปัสสาวะ ทางเดินอาหาร ซึ่งถ้าร่างกายแข็งแรงก็จะสามารถกำจัดให้หายไปเองได้

2. จากภายนอก เช่น เข้ามาทางบาดแผลต่าง ๆ การหายใจ ดังเราจะเคยได้ยินว่า "ไม้จิ้มฟันทิ่มเหงือก ก็เสือกตาย" นั่นเป็นผลมาจากร่างกายของผู้ป่วยอ่อนแอ เมื่อเชื้อโรคที่ติดมากับไม้จิ้มฟันได้เข้าสู่ร่างกายลุกลามจนเข้ากระแสเลือด ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้แม้จะเป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยก็ตาม

ลดความเสี่ยงการรับเชื้อโรคได้อย่างไร

ทำตัวให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ ก็จะมีภูมิต้านทานเชื้อโรค ทั้งจากภายในและภายนอกร่างกาย
แต่ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง และอยู่ในช่วงอายุเสี่ยงสูง เช่น เด็ก ผู้ใหญ่สูงวัย ผู้ป่วย  ก็ต้องเลี่ยงที่จะเผชิญเชื้อโรคจากภายนอก อาทิเช่น
·         
    - ใช้อุปกรณ์เสียบสอดเข้าร่างกาย ที่ปลอดเชื้อ เช่น ท่ออาหาร ท่อหายใจ ท่อสวนปัสสาวะ ท่อสวนทวาร

    - มีคนเข้าเยี่ยมให้น้อยที่สุด เพราะคนเป็นพาหนะของเชื้อโรค  นำพาเชื้อโรคเข้าสู่หายนะของผู้ป่วยได้มากที่สุด
·         
      - การป้องกันเชิงรุก ด้วยการใช้เครื่องฆ่าเชื้อโรคทางอากาศ  ทำลายเชื้อโรคในพื้นที่ที่มีผู้ป่วยอยู่  อาทิเช่น  Plasmacluster air sterilizer  จะพ่นไอออนสร้างโซนทำลายเชื้อโรคได้ในบริเวณที่มีผู้ป่วยอยู่  เมื่อมีเชื้อโรคเข้ามาใน Plasmacluster zone ก็จะถูกทำลายในอากาศ  การที่ Plasmacluster ion ทำลายผิวชั้นนอกของเชื้อโรค  จึงเป็นทางเลือกที่ดีของการต่อสู้เผชิญกับเชื้อโรคดื้อยาได้ด้วย

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559

คลั่งขาว!! เตือนระวัง "น้ำยาลอกผิว" หนังลอก -ไตวาย

คลั่งขาว!! เตือนระวัง "น้ำยาลอกผิว" หนังลอก -ไตวาย

“น้ำยาลอกผิว” กำลังเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่หลายคนนิยมต้องการกันอย่างมาก ด้วยคุณสมบัติสามารถเปลี่ยนผิวกายที่หมองคล้ำให้กลับมาขาวสดใส จนน่าทึ่งในระยะเวลาไม่เดือน แต่มีอันตรายมากกว่าผลดี



ปัจจุบันน้ำยาลอกผิว เราจพบโฆษณาง่าย ๆ ได้ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งบรรยายสรรพคุณสารพัดและมีราคาถูก ซึ่งค่อนข้างน่ากลัวมาก ที่เขาขายกันจะเป็นในรูปตลับ หรือเป็นลิตรและเป็นแกลลอนเลยก็มี เพื่อนำมาอาบหรือทา พอก 2 ชั้น 3 ชั้น มีyoutube แสดงให้เห็นว่าใช้อย่างไร พวกนี้พอทาไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ ผิวก็จะลอกออกมาเป็นแผ่น สิ่งที่ลอกออกมา  ก็คือผิวชั้นนอกของเรา ในทางการแพทย์ก็มีวิธีการลอกผิวด้วยสารเคมีที่มีความปลอดภัย เช่น AHA ที่ใช้ลอกเพื่อรักษาผิวหน้าที่มีปัญหา เช่น เป็นหลุมสิว เป็นสิวเป็นฝ้า ทีนี้พอวัยรุ่นมาเห็นก็อาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย ก็เลยนำมาใช้นำมาขัดกัน โดยตัวที่นำมาใช้จะเป็นกรดแบบแรง ใช้ไปมันก็จะกัด จะทำให้ไหม้ผิว เวลาเราทาลงไปในบริเวณใบหน้า หรือแขนขาที่มันไม่แสบเนื่องจากว่า น้ำยาลอกผิวเหล่านี้จะใส่ยาชาเข้าไปด้วย นอกเหนือจากกับผสมสารเคมีชนิดอื่นๆ ที่เช่นสี ให้มีหลายแบบ เพื่อบอกว่าสำหรับผิวแพ้ง่าย หรือแบบแรง ปรุงแต่งเข้าไปอีก


“ครีมมหัศจรรย์หน้าขาวใสเด้งทันทีชนิดนี้ไม่มีแน่นอนในสารระบบวงการยาและวงการแพทย์”  หากนำไปใช้แล้ว ผู้บริโภคขาวเร็ว หน้าเด้ง สิวหาย ต้องเริ่มคิดแล้วว่า มันเป็นครีมอะไรและมีความปลอดภัยหรือไม่ เช่น มีสารปรอทเป็นส่วนผสมหรือเปล่า ซึ่งจะมีอันตรายในระยะยาวได้


สำหรับสารปรอท มีการนำมาใช้นานแล้ว ต่อมาก็มีสารประเภทไฮโดรควิโนน  ซึ่งเป็นสารที่ผิดกฏหมายทั้งสองชนิดในการนำมาใช้กับเครื่องสำอาง  สำหรับสารปรอทจะไปทำลายเม็ดสีถาวร เมื่อใช้ครั้งแรก ๆ ก็จะขาว แต่พอใช้ไปนาน ๆไป จะทำให้หน้าขาวเป็นด่าง ๆ แล้วเราก็จะใช้เครื่องสำอางอะไรไม่ได้  จะแพ้และไวต่อทุกอย่าง เครื่องสำอางที่ตัวเราเองเคยใช้ได้ ก็จะใช้ไม่ได้แล้ว ที่สำคัญหน้าก็จะกลับมาดำกว่าเดิม  กระดำกระด่างจะแพ้ง่าย ใช้เครื่องสำอางอะไรก็ไม่ค่อยได้ พวกสารปรอทเวลามันซึมเข้าไปในผิว ก็จะทำให้มีผลต่อไต ทำให้เกิดไตวายได้ และน้ำยาลอกขาวนั้น  มีส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นกรดชนิดรุนแรง จะเกิดการกัดผิวจนไหม้จนลอกผิวหนังชั้นนอกออกมา โดยผิวหนังชั้นนี้เป็นชั้นขี้ไคลส่งผลให้ดูขาวขึ้น เมื่อใช้ติดต่อกันผิวหนังชั้นนอกของเราก็จะตายไปด้วย เมื่อเจอแสงแดดอีก  ผิวก็กลับมาเป็นอย่างเดิม อีกทั้งไม่มีเม็ดสีป้องกันแสงแดด ป้องกันการไหม้ก็อาจมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้ หากรุนแรงกว่านี้ จะส่งผลทำให้ผิวเกิดแผลไหม้ อาจติดเชื้อจนเกิดอันตรายตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย  เช่น มีบางเคสใช้น้ำยาลอกหน้าแล้วเกิดแผลจนติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเป็นอันตรายมาก หากเกิดที่ตาอาจทำให้ตาบอดได้


ดังนั้น เห็นได้ชัดว่า ครีมผิวขาว  น้ำยาลอกผิว ฯลฯ ตามทางตลาดหรืออินเตอร์เน็ตนั้น ไม่สามารถทำให้เราขาวได้ถาวร ซ้ำยังเป็นอันตรายว่าร่างกายของเราอีกด้วย  ทางที่ดีที่สุดเราทุกคนควรจะหันมาดูแลสุขภาพ  ผิวพรรณ ด้วยวิธีธรรมชาติด้วยการออกกำลังกาย หรือทำวิธีตามข้อมูลข้างต้นนี้ พอใจกับลักษณะของแต่ละบุคคล เพียงเท่านั้น จะสวยทั้งภายนอกและภายในอย่างแน่นอน

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

อาการของผิวติดสเตียรอยด์

บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินคำว่า "ผิวฉันติดสเตียรอยด์" จากคนรอบข้าง ส่วนใหญ่มักมีต้นกำเนิดมาจากการใช้เครื่องสำอางค์ที่มีส่วนผสมของสารดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นยารักษาสิว ครีมทาหน้าที่ช่วยให้ผิวหน้าขาวใส




อาการของผิวติดสเตียรอยด์
  • เมื่อเลิกใช้จะเป็นลักษณะของผดผื่นขึ้น เป็นปื้นๆ สีออกแดง เหมือนมีอาการแพ้ มักมีอาการคันร่วมด้วย
  • ผิวบางมากขึ้น และแพ้ได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอางค์ แป้งพับ พอทาลงไปอาการสิว ผื่นแดงที่เป็นอยู่จะมีการกำเริบ จากสิวผื่นแดงอาจพัฒนากลายเป็นสิวหนอง
  • สิวจะเป็นเม็ดแดงๆ ขึ้นกระจายทั่วทั้งหน้า หรือเป็นกระจุกบริเวณใดบริเวณหนึ่ง แต่จะขึ้นเยอะมากบริเวณที่ทาครีมหรือยาที่มีสเตียรอยด์บริเวณนั้นเยอะ
  • สิวอุดตันที่ขึ้นมา กดออกมาจะมีกลิ่น
  • สิวอักเสบที่มีเม็ดจะใหญ่และเจ็บ และไม่มีหัว จะเป็นอักเสบหัวแดง กว่าจะยุบก็ใช้เวลานาน
  • ผิวหน้ามีความมันมากขึ้น และมันตลอดเวลา ทำให้ผิวหน้าดูโทรม หมองคล้ำ
สำหรับวิธีการป้องกันไม่ให้หลงไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์คือ ให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มีการรับรองมาตรฐานต่างๆ ดูในส่วนของความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นรีวิวจากผู้ใช้ หรือทางที่ดีที่สุดถามจากปากคนใช้โดยตรงว่าพอหยุดใช้แล้วมีอาการผิดปกติอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ ที่สำคัญไม่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีเลขที่แจ้งจด ไม่มีที่มาที่ไปจะเป็นการป้องกันตัวเองได้มาก

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

ภัยเงียบจากครีมหน้าใส หน้าเด้ง ยาหมอ ฉีดสิว ... "สิวสเตียรอยด์"

ได้พบเห็นผู้ที่รับเคราะห์จากการใช้เครื่องสำอางค์ที่ถูกต้อง (แต่มีสารเคมี) หรือปนสารอันตราย หรือปลอมทั้งสูตรเลย  มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  จากการหากินบนความทุกข์ของคนที่รักสวยงาม ... อีกทั้งความใจร้อนของผู้ที่มีปัญหาด้านผิว ก็เป็นตัวเร่งให้ตัดสินใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เสี่ยงต่อผลข้างเคียง หรือบางคนหลงเป็นเหยื่อโฆษณาได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่างที่พบได้บ่อยจากผู้ใช้เครื่องสำอางค์ที่ผสมสารสเตียรอยด์ (คนใช้ไม่รู้ว่ามีอะไรผสม แต่อะไรก็ตามที่แสดงผลไว มักมีสารอันตรายผสมไม่มากก็น้อย) ทำให้ปัญหาทางอารมณ์ตามมาอย่างต่อเนื่อง บดบังการมองหาสาเหตุต้นตอของปัญหา อาทิเช่น

  • พอหยุดใช้ ไม่ได้ทา หันไปใช้ลังโคม ผดขึ้น (จากการหยุดสเตียรอยด์) ก็โทษลังโคม ว่าแพ้ลังโคม
  • พอเปลี่ยนไปใช้ La Mer บ้าง สิวขึ้น ผดมาเต็มหน้า (เพราะฤทธิ์ของสเตียรอยด์) ก็โทษ La mer เที่ยวบอกว่าแพ้ La mer
  • พอไปใช้ยูเซอรี สิวผด สิวเห่อ ก็ไม่หาย ไปพึ่ง Clinique ก็ไม่ work ด่า Clinique ว่าไม่ได้เรื่อง
  • พอกลับไปทาครีมสเตียรอยด์ที่เคยใช้ แน่ะสิวยุบใน 2 วัน ทุกอย่างคืนสู่สภาพเดิม หน้าใสเป็นกระจกอีกครั้ง อ้าวว ใช้ได้ผลดีจัง  อุปมาอุปมัยเหมือนคนติดยา กินยาบ้ายาม้า ของแรงๆ มาตลอด วันดีคืนดีก็ไปกินยาคูลท์แทน ก็ไปด่ายาคูลท์ว่าไม่ดี แพ้ยาคูลท์
ในโลกความเป็นจริงแล้ว ครีมที่มีสเตียรอยด์ (สังเกตุเบื้องต้นได้จากเนื้อครีม จะข้นๆ มันๆ) จะไม่มีสารออกฤทธิ์ (active ingredient) ตัวไหนที่ผ่าน อย.  แล้วทำให้หน้าใสเป็นกระจกได้หรอก  

คนติดสเตียรอยด์จะประมาณว่าเหมือนคนติดยา  พอได้รับยาอาการดีขึ้นเร็ว หาย หน้าใส  แต่เมื่อไหร่ที่หยุด  หน้าจะพังและร่างกายลุกขึ้นมาประท้วงว่าต้องการยา เราต้องใจแข็งมากๆในการหยุดใช้ให้ได้  คนส่วนมากมักท้อใจ เหนื่อยใจ และหมดกำลังใจ  แต่อีกหลายคนก็ผ่านมันไปได้  อย่าตกเป็นทาสของมันต่อไป

การรักษาสิวสเตียรอยด์ หรือคนที่ติดสเตียรอยด์แล้ว  เป็นเรื่องเหมือนการรักษาคนที่ติดยาเสพติด  ต้องใช้ความใจเย็น  เพื่อการกลับคืนของผิวหนังแบบธรรมชาติอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นก็จะกลับเข้าไปอยู่ในวังวนการรักษาแบบเดิมๆ ที่ไม่มีวันหายขาด

สารสเตียรอยด์เราพบได้ที่ไหนบ่อยที่สุดและมากที่สุด

1.ยาแต้มสิว

2.ยาฉีดสิว

3.ยาทานแก้สิวอักเสบ

4.ครีมหน้าใส หน้าขาว หน้าเด้ง 

5.ครีมรักษาสิว 

การดูจากฉลากก็ไม่แน่ว่าจะผสมสารสเตียรอยด์หรือเปล่า เราไม่มีทางรู้ได้ (ฉลากไม่เขียนว่ามีหรอก) เราอาจสังเกตุง่ายๆว่า เมื่อทาผิวหน้าแล้ว ผิวหน้าที่มีปัญหาเหล่านั้นจะหายไปเร็วมาก หน้าจะใส เนียน ขาว ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบในระยะเวลาอันสั้น แต่สารสเตียรอยด์เหล่านี้จะสะสมอยู่ในผิวเป็นเดือน หรืออาจเป็นปี  จากนั้นก็ได้เวลาที่มันจะแสดงฤทธิ์เดชให้เห็นว่า  ทำลายผิวหน้าไปแล้วขนาดไหน

ในปัจจุบันครีมหลายยี่ห้อที่ต้องการความรวดเร็วในการเห็นผล หรือรักษาแบบตั๋วด่วน  มักจะผสมสารสเตียรอยด์ เราก็จะได้เห็นฤทธิ์เดชของผลข้างเคียงที่มีความอันตรายกล่าวคือ

1.ผด ผื่น ขึ้นง่ายมาก

2.เกิดสิวผด เป็นปื้นๆ

3.ผิวแดง เหมือนแพ้อะไรมา 

4.อาการคัน

5.ผิวบางและแพ้ง่าย  โดนอะไรนิดอะไรหน่อยก็แพ้

6.สิวเม็ดแดงๆ ขึ้นกระจายทั่วทั้งหน้า หรือเป็นกระจุกบริเวณใดบริเวณหนึ่ง โดยเฉพาะบริเวณที่มีการทาครีม จะเยอะมากเป็นพิเศษ

7.สิวอุดตันที่ขึ้นมา กดออกมาจะมีกลิ่นหรือไม่มีกลิ่นก็ได้ แต่มักจะแดง

8.สิวอักเสบที่มีเม็ดจะใหญ่และเจ็บ และไม่มีหัว จะเป็นอักเสบหัวแดง ใช้เวลานานกว่าจะยุบ

9.สิวขึ้นเห่อ 

10.สำหรับคนผิวมัน หน้าจะมันขึ้น หลังหยุดใช้ครีมผสมสเตียรอยด์

11.ผิวจะดูเหี่ยวเร็ว เพราะสเตียรอยด์จะเข้าไปทำลายการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว หน้าหมองคล้ำได้เมื่อใช้เป็นเวลานาน ทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้นดูแก่กว่าวัย

เริ่นต้นแก้ไขให้ถูกต้องเลย คือ

1.ไม่ควรใช้สเตียรอยด์อีกเลย

2.ไม่ควรใช้สารที่มีฟอง ล้างหน้า เช่น ในโฟม สบู่ เพราะมีโซเดียม หรือสารเคมีพวกโซเดียมลอริล/โซเดี่ยมลอเรตซัลเฟส หรือสารเคมีที่คล้ายๆกัน เพราะระคายเคืองผิวหนัง กระตุ้นการเกิดสิวกลับมาอีก

3.ไม่ควรใช้เครื่องสำอาง ที่มีสารฟอกหน้าขาว สารลอกผิว.ปรอท.ฯลฯ เพื่อหวังหน้าขาว หรือลอกฝ้ากระ ซึ่งต่อมามักจะสร้างปัญหามากกว่าสิวด้วยซ้ำ

4.หันมาใช้สารธรรมชาติหรือสารสกัดธรรมชาติ แทน ในการล้างหน้า บำรุงผิว เท่าที่จำเป็น อาจต้องเอาผลิตภัณฑ์ธรรมชาติบางประเภทเข้ามาช่วยในระยะสั้น

เมื่อทำได้  ความรุนแรงของการทำลายผิวหน้าตัวเองด้วยสารสเตียรอยด์ก็จะหมดไป  หน้าก็จะกลับคืนสวยใสดั่งธรรมชาติที่ควรเป็นอีกครั้งหนึ่ง