แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ครีมหน้าขาว แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ครีมหน้าขาว แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559

คลั่งขาว!! เตือนระวัง "น้ำยาลอกผิว" หนังลอก -ไตวาย

คลั่งขาว!! เตือนระวัง "น้ำยาลอกผิว" หนังลอก -ไตวาย

“น้ำยาลอกผิว” กำลังเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่หลายคนนิยมต้องการกันอย่างมาก ด้วยคุณสมบัติสามารถเปลี่ยนผิวกายที่หมองคล้ำให้กลับมาขาวสดใส จนน่าทึ่งในระยะเวลาไม่เดือน แต่มีอันตรายมากกว่าผลดี



ปัจจุบันน้ำยาลอกผิว เราจพบโฆษณาง่าย ๆ ได้ในอินเตอร์เน็ต ซึ่งบรรยายสรรพคุณสารพัดและมีราคาถูก ซึ่งค่อนข้างน่ากลัวมาก ที่เขาขายกันจะเป็นในรูปตลับ หรือเป็นลิตรและเป็นแกลลอนเลยก็มี เพื่อนำมาอาบหรือทา พอก 2 ชั้น 3 ชั้น มีyoutube แสดงให้เห็นว่าใช้อย่างไร พวกนี้พอทาไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ ผิวก็จะลอกออกมาเป็นแผ่น สิ่งที่ลอกออกมา  ก็คือผิวชั้นนอกของเรา ในทางการแพทย์ก็มีวิธีการลอกผิวด้วยสารเคมีที่มีความปลอดภัย เช่น AHA ที่ใช้ลอกเพื่อรักษาผิวหน้าที่มีปัญหา เช่น เป็นหลุมสิว เป็นสิวเป็นฝ้า ทีนี้พอวัยรุ่นมาเห็นก็อาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย ก็เลยนำมาใช้นำมาขัดกัน โดยตัวที่นำมาใช้จะเป็นกรดแบบแรง ใช้ไปมันก็จะกัด จะทำให้ไหม้ผิว เวลาเราทาลงไปในบริเวณใบหน้า หรือแขนขาที่มันไม่แสบเนื่องจากว่า น้ำยาลอกผิวเหล่านี้จะใส่ยาชาเข้าไปด้วย นอกเหนือจากกับผสมสารเคมีชนิดอื่นๆ ที่เช่นสี ให้มีหลายแบบ เพื่อบอกว่าสำหรับผิวแพ้ง่าย หรือแบบแรง ปรุงแต่งเข้าไปอีก


“ครีมมหัศจรรย์หน้าขาวใสเด้งทันทีชนิดนี้ไม่มีแน่นอนในสารระบบวงการยาและวงการแพทย์”  หากนำไปใช้แล้ว ผู้บริโภคขาวเร็ว หน้าเด้ง สิวหาย ต้องเริ่มคิดแล้วว่า มันเป็นครีมอะไรและมีความปลอดภัยหรือไม่ เช่น มีสารปรอทเป็นส่วนผสมหรือเปล่า ซึ่งจะมีอันตรายในระยะยาวได้


สำหรับสารปรอท มีการนำมาใช้นานแล้ว ต่อมาก็มีสารประเภทไฮโดรควิโนน  ซึ่งเป็นสารที่ผิดกฏหมายทั้งสองชนิดในการนำมาใช้กับเครื่องสำอาง  สำหรับสารปรอทจะไปทำลายเม็ดสีถาวร เมื่อใช้ครั้งแรก ๆ ก็จะขาว แต่พอใช้ไปนาน ๆไป จะทำให้หน้าขาวเป็นด่าง ๆ แล้วเราก็จะใช้เครื่องสำอางอะไรไม่ได้  จะแพ้และไวต่อทุกอย่าง เครื่องสำอางที่ตัวเราเองเคยใช้ได้ ก็จะใช้ไม่ได้แล้ว ที่สำคัญหน้าก็จะกลับมาดำกว่าเดิม  กระดำกระด่างจะแพ้ง่าย ใช้เครื่องสำอางอะไรก็ไม่ค่อยได้ พวกสารปรอทเวลามันซึมเข้าไปในผิว ก็จะทำให้มีผลต่อไต ทำให้เกิดไตวายได้ และน้ำยาลอกขาวนั้น  มีส่วนผสมของสารเคมีที่เป็นกรดชนิดรุนแรง จะเกิดการกัดผิวจนไหม้จนลอกผิวหนังชั้นนอกออกมา โดยผิวหนังชั้นนี้เป็นชั้นขี้ไคลส่งผลให้ดูขาวขึ้น เมื่อใช้ติดต่อกันผิวหนังชั้นนอกของเราก็จะตายไปด้วย เมื่อเจอแสงแดดอีก  ผิวก็กลับมาเป็นอย่างเดิม อีกทั้งไม่มีเม็ดสีป้องกันแสงแดด ป้องกันการไหม้ก็อาจมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งผิวหนังได้ หากรุนแรงกว่านี้ จะส่งผลทำให้ผิวเกิดแผลไหม้ อาจติดเชื้อจนเกิดอันตรายตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย  เช่น มีบางเคสใช้น้ำยาลอกหน้าแล้วเกิดแผลจนติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งเป็นอันตรายมาก หากเกิดที่ตาอาจทำให้ตาบอดได้


ดังนั้น เห็นได้ชัดว่า ครีมผิวขาว  น้ำยาลอกผิว ฯลฯ ตามทางตลาดหรืออินเตอร์เน็ตนั้น ไม่สามารถทำให้เราขาวได้ถาวร ซ้ำยังเป็นอันตรายว่าร่างกายของเราอีกด้วย  ทางที่ดีที่สุดเราทุกคนควรจะหันมาดูแลสุขภาพ  ผิวพรรณ ด้วยวิธีธรรมชาติด้วยการออกกำลังกาย หรือทำวิธีตามข้อมูลข้างต้นนี้ พอใจกับลักษณะของแต่ละบุคคล เพียงเท่านั้น จะสวยทั้งภายนอกและภายในอย่างแน่นอน

วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

สารปรอทปริมาณสูงในครีมหน้าขาวและการทดสอบเบื้องต้น


สารปรอทปริมาณสูงในครีมหน้าขาวและการทดสอบเบื้องต้น

 

white3


ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสาคัญกับสุขภาพและผิวพรรณ เพื่อนาไปสู่ความอ่อนวัยไร้ริ้วรอย และที่สาคัญผิวต้องขาวใส ไร้จุดด่างดำ ดังนั้นผลิตภัณฑ์กลุ่มฟอกผิวตัวให้ขาว ผิวหน้าให้ใส (Whitening Products) จึงมีตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างมากมาย โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้มีส่วนแบ่งการตลาดของเครื่องสำอางถึงร้อยละ 50-70 ในบางประเทศ การสุ่มตัวอย่างผลิตภัณฑ์ครีมหน้าขาว-หน้าใสที่อ้างว่ามีประสิทธิภาพในการทาให้ผิวหน้าและผิวกายมีสีจางลงในเวลาสั้น เพื่อตรวจสอบคุณภาพจากหลายหน่วยงานพบว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีจำนวนถึงร้อยละ 20 ที่มีสารปรอทในปริมาณสูงปนอยู่ในระดับหลายพันถึงหลายหมื่นส่วนในล้านส่วน ซึ่งสารปรอทเหล่านี้เป็นพิษต่อร่างกายทั้งแบบเฉียบพลันและในระยะยาว

ในผลิตภัณฑ์ ครีมไข่มุกที่เคยเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภค มีการผสมสารปรอทในอัตราส่วนไม่เกินร้อยละ 3 (30,000 ppm) สารปรอทที่ใช้อยู่ในรูปของไดวาเลนซ์แคทไอออน [mercuric (II) ion, Hg2+] จะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งทำให้การสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ลดลง แต่จะทำให้ผิวหนังอ่อนแอ แพ้ง่าย ไวต่อรังสีอัลตราไวโอเลต สารปรอทเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านทางผิวหนัง เข้าสู่กระแสโลหิต ทำให้มีผลต่อการทางานของตับ ไต เกิดโรคโลหิตจาง เป็นต้น กระทรวงสาธารณสุขจึงประกาศให้ปรอทเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอางตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 การใช้สารปรอทเพื่อฆ่าเชื้อโรคในเครื่องสำอางบางชนิด (รวมถึงยาบางชนิด) ต้องใช้ที่ความเข้มข้นของปรอทไม่เกิน 1 ในล้านส่วน (1 ppm) แต่ที่ความเข้มข้นนี้จะไม่มีผลทำให้สีผิวจางลง

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศไทย (อย.) และองค์กรที่เกี่ยวข้อง ได้สุ่มตรวจอย่างผลิตภัณฑ์หน้าขาวเป็นระยะ แต่ยังพบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายสิบชนิดที่มีปริมาณสารปรอทสูงมากและก่อให้เกิดอันตรายกับผู้บริโภค องค์การอนามัยโลกรายงานถึงปัญหาการปนเปื้อนสารปรอทในหลายประเทศทั่วโลก ที่ผู้บริโภคความสำคัญกับสีผิวที่อ่อน ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย เกาหลี เวียดนาม อินโดนีเซีย เลบานอน เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ รวมถึงสหรัฐอเมริกา ในหลายประเทศไม่มีการตรวจสอบสารปรอทในครีมหน้าขาวอย่างเข้มงวดและไม่ทั่วถึง จึงทำให้ยังมีครีมหน้าขาวจำนวนมากที่มีสารปรอทปนเปื้อนในปริมาณที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ครีมหน้าขาวที่ถูกลักลอบเติมปรอทมีแนวโน้มที่จะเพิ่มจำนวนขึ้น เนื่องจากเป็นครีมที่ขายออนไลน์และครีมที่ถูกนำเข้าจากต่างประเทศ