แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อันตราย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อันตราย แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2561

โอโซน Ozone ใช้ฆ่าเชื้อโรคได้ดีจริงหรือ มีประโยชน์และข้อต้องระวังอย่างไร

สารโอโซน  Ozone


                O2 + O ---> O
                O2 + O ---> O3

โอโซนแตกตัวให้ประจุของออกซิเจนที่มีความสามารถในการออกซิไดส์สูง มีผลรบกวนต่อการถ่ายโอนประจุระหว่างชั้นผนังเซลล์ ทำลายโครงสร้างผนังเซลล์ของจุลินทรีย์ และทำลายองค์ประกอบต่างๆ ภายในเซลล์ ส่งผลให้เซลล์ของจุลินทรีย์เสียหาย แบบเฉียบพลันและตายในที่สุด อีกนัยหนึ่งคือทำลายแบบสิ้นซาก






ความสามารถในการทำลายเชื้อโรคและกลิ่นของโอโซน จะขึ้นกับความเข้มข้นที่สูงและระยะเวลาที่โอโซนสัมผัสนานพอ ไม่ใช่ว่าทุกความเข้มข้นจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปริมาณโอโซนกับการกําจัดเชื้อโรคต่างๆ

1. ไวรัส  ปริมาณโอโซน 0.5 - 1.5 ส่วนในล้านส่วน (P.P.M.) สามารถกําจัดเชื้อไวรัสได้ 99% โดยระยะเวลาการฆ่าเชื้อต้องไม่น้อยกว่า 4 นาที

2. แบคทีเรีย  ปริมาณโอโซนที่ใช้ในการกําจัดเชื้อแบคทีเรียขึ้นอยู่กับชนิด และปริมาณของแบคทีเรีย โดยทั่วไปโอโซนเข้มข้น 10 ส่วนในล้านส่วน สามารถกําจัดเชื้อแบคทีเรียได้ 99% โดยระยะเวลาการฆ่าเชื้ออย่างน้อย 10 นาที

3. เชื้อรา  ปริมาณโอโซนที่ใช้กับเชื้อราจะต้องใช้ปริมาณโอโซนมากกว่าการใช้กับเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากเชื้อรามีการ สร้างสปอร์ฉะนั้นในการกําจัดเชื้อรา 99 % ต้องใช้ปริมาณ โอโซนประมาณ 20 ส่วน ในล้านส่วนที่ระยะเวลาการฆ่าเชื้อ อย่างน้อย 30 นาที

การเลือกใช้โอโซนทำงาน ต้องถามว่าความเข้มข้นเท่าไหร่ ทำลายกี่เปอร์เซ็นต์ ห้ามเชื้อโรคขยับไปไหนเป็นเวลานานเท่าไหร่

ในโรงพยาบาล จึงต้องให้คนออกจากห้องก่อน เพื่อความปลอดภัย จากนั้นค่อยเปิดเครื่องทำงานทิ้งไว้ได้ หลังจากปิดเครื่องแล้ว ก็ต้องปล่อยห้องให้ว่างไว้มากกว่า 4 ชั่วโมง จึงกลับเข้าไปใช้งานห้องได้อีกครั้ง ... เป็นความไม่สะดวกของการใช้งาน และเสี่ยงต่อความปลอดภัยของพนักงาน จึงมีความนิยมใช้ลดลงเรื่อยๆ

ความปลอดภัยในการใช้งานรังสียูวี และสารโอโซน

จากข้างบน จะเห็นได้ว่า วิธีการฆ่าเชื้อโรคและทำลายกลิ่นของทั้งสองวิธี เป็นการทำลายชนิดรุนแรง และมีผลต่อระดับ DNA จึงต้องคำนึงถึงความเป็นพิษที่เกิดขึ้นต่อการสัมผัสต่อมนุษย์เช่นกัน ทางหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคได้มีการกำหนดมาตราฐานความปลอดภัยไว้ (ขณะเดียวกันประสิทธิภาพการทำงานก็จะด้อยลง) อาทิเช่น

-  FDA หรือ อย. แห่งสหรัฐอเมริกา  ได้กำหนดว่าเครื่องผลิตโอโซนไม่ควรผลิตโอโซนเกิน 0.05  ppm.   (ส่วนในล้านส่วน)  สำหรับใช้ภายในอาคาร 

-  OSHA   หรือ  (Occupational Safety and Health Administration)  ตั้งข้อกำหนดว่า  ไม่ควรทำงานในบริเวณที่มีความเข้มข้นของโอโซนเกิน  0.10  ppm.  เกินกว่า  8 ชั่วโมง 

-  สถาบัน    NIOSH   หรือ  (National Institute of Occupational Safety and Health)  ตั้งข้อกำหนดว่า  ไม่ควรอยู่ในบริเวณที่มีโอโซนเกิน 0.10  ppm.   ไม่ว่ากรณีใด 

-  สำนักงาน   EPA   หรือ (Environmental Protection Agency)  ตั้งข้อกำหนดว่า  ไม่ควรอยู่ในที่ที่มีโอโซนถึง 0.08   ppm.   เกิน 8 ชั่วโมง

ค่ามาตรฐานการสัมผัสโอโซนสำหรับ 8 ชั่วโมงการทำงานของประเทศญี่ปุ่นและออสเตรเลียคือ 0.1 ส่วนในล้านส่วน (parts per million, ppm)ส่วนมติที่ประชุมของนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรมภาครัฐบาลแห่งสห รัฐอเมริกา (American Conferenceof Governmental Industrial Hygienists, ACGIH)ได้กำหนดค่าที่ยอมให้มีได้ในบรรยากาศการทำงาน(Threshold Limit Value, TLV) ของโอโซนเป็น 0.1 ส่วนในล้านส่วน เช่นเดียวกัน แต่เป็นค่าที่ไม่ยอมให้มีเกินค่านี้ในบรรยากาศการทำงาน ไม่ว่าในเวลาใดก็ตามค่า ceiling ระดับความเข้มข้นของโอโซนที่ 10 ส่วนในล้านส่วน  เป็นระดับที่ทำอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพทันที (ImmediatelyDangerous to Life and Health, IDLH)

การที่ต้องเข้มงวดในการกำหนดความเข้มข้นของโอโซน เพราะคุณสมบัติของมันโดยเฉพาะที่มีความเข้มข้นมาก  สามารถทำปฏิกิริยากับร่างกายได้และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ  เมื่อหายใจเข้าไปโอโซนทำอันตรายต่อปอด  แม้ว่าจะมีปริมาณเพียงเล็กน้อยโอโซนสามารถทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก ไอ หายใจไม่ออก เจ็บคอ ระคายเคืองคอ  โอโซนสามารถทำให้เกิดปัญหาโรคระบบทางเดินหายใจอย่างเรื้อรังอย่างเช่น โรคหอบ  นอกจากนั้นโอโซนยังทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่จะต่อสู้กับโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจลดลง

สรุปสั้นได้ว่า

ความเข้มข้นที่สามารถฆ่าเชื้อโรค และทำลายกลิ่นได้จริง       20      ppm
มาตราฐานที่ให้ใช้ตามบ้าน ต้องมีความเข้มข้นไม่เกิน             0.10   ppm
ความเข้มข้นที่มักพบอาการพิษให้เห็นบ่อยๆ                          0.25  ppm

ผลต่อสุขภาพระยะสั้น : โอโซนที่ระดับความเข้มข้นต่ำ (0.01-0.02 ส่วน ในล้านส่วน) ก็สามารถตรวจสอบกลิ่นได้แล้ว

โอโซนในระดับความเข้มข้น 0.25 ส่วนในล้านส่วนขึ้นไป มีผลทำให้เกิดความระคายเคืองต่อตา จมูก และคอทำให้หายใจสั้น วิงเวียน และปวดศีรษะได้

นอกจากนี้ยังพบว่าเป็นสาเหตุของความล้าและการสูญ เสียประสาทรับรู้กลิ่นด้วย คนที่มีโรคทางระบบหายใจอยู่แล้ว เช่น โรคหอบหืด ไม่ควรสัมผัสโอโซนเลย



สูดโอโซนแล้วสดชื่นจริงหรือไม่

หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าว “สูดโอโซนแล้วทำให้สดชื่น”คำกล่าวนี้คงทำให้หลายคนเข้าใจผิด คิดว่า โอโซน มีประโยชน์ซึ่งแท้จริงแล้วโอโซน ไม่ใช่อากาศที่มนุษย์เราใช้ในการหายใจเลย  โอโซนเป็นก๊าซไม่มีสีแต่มีกลิ่นเหม็นคาว ซึ่งเป็นพิษต่อระบบหายใจของสิ่งมีชีวิต  โอโซนมีความว่องไวในการเกิดปฏิกิริยา จึงมักจะเกิดปฏิกิริยากับสารอื่นๆในสิ่งแวดล้อม  ความรู้สึกที่ว่าโอโซนดับกลิ่นทำให้ อากาศสดชื่นนั้นความจริง เกิดจากการที่โอโซนเข้าทำปฏิกิริยากับโมเลกุลของสารที่มีกลิ่นให้กลายเป็นอีกโมเลกุลซึ่งไม่มีกลิ่น ทำให้เรารู้สึกสดชื่นนั่นเองไม่ใช่เป็นเพราะโอโซนอย่างที่เราเข้าใจกันนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2559

รังสียูวีจากแสงแดดมีทั้งคุณประโยชน์และโทษต่อมนุษย์ โดย รังสียูวี ในขนาดต่ำๆ จะช่วยในการสังเคราะห์วิตามินดีที่ผิวหนัง แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่สูงเกินไป รังสียูวีบีจะทำลายเซลล์ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ทำให้เกิดผิวไหม้แสบลอก ผิวหมองคล้ำ


รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ รังสียูวี มีอยู่ 3 ชนิด คือ 
1. รังสียูวีซี (UV C) เป็นรังสีที่อันตรายที่สุด แต่จะไม่ถึงพื้นโลก เนื่องจากจะมีโอโซนกั้นอยู่ โดยรังสีนี้หากถูกผิวหนังจะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้ และอาจกระทบต่อดวงตา เป็นต้อกระจกได้ 
2.รังสียูวีบี (UV B) มาถึงผิวโลก และมีผลต่อผิวไหม้ได้ หรือที่เรียกว่า ซันเบิร์น แต่ป้องกันได้ โดยการทาครีมกันแดด และ
3.รังสียูวีเอ (UV A) จะทะลุเข้าไปภายในผิวหนัง ทำให้แก่เร็วขึ้น




รังสียูวีจากแสงแดดมีทั้งคุณประโยชน์และโทษต่อมนุษย์ โดย รังสียูวี ในขนาดต่ำๆ จะช่วยในการสังเคราะห์วิตามินดีที่ผิวหนัง แต่ถ้าได้รับในปริมาณที่สูงเกินไป รังสียูวีบีจะทำลายเซลล์ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า ทำให้เกิดผิวไหม้แสบลอก ผิวหมองคล้ำ
ส่วนรังสียูวีเอ เมื่อได้ผ่านลงไปได้ถึงชั้นหนังแท้ และได้รับต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ จะทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำลายไฟโบรบลาสต์ จึงทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำกดภูมิคุ้มกันของผิวหนัง ทำลาย DNA ทำให้เซลล์กลายพันธุ์และแบ่งตัวผิดปกติ ตามมาด้วยเนื้องอกหรือมะเร็งผิวหนังได้ โดยผู้ที่มีผิวขาวจะมีความเสี่ยงมากกว่าเนื่องจากมีเมลานินที่ช่วยปกป้องอยู่น้อยกว่านั่นเอง
นอกจากนี้ รังสียูวี ยังส่งผลก่อให้เกิดอันตรายต่อดวงตาด้วย แต่มีผลค่อนข้างน้อย ถ้าได้รับ รังสียูวี ความเข้มสูง จะเกิดกระจกตาอักเสบมีอาการแสบตา น้ำตาไหล แพ้แสง ตาแดง ส่วนระยะยาวจะเกิดต้อลม ต้อกระจก ในอนาคตจอตาอาจเสื่อมได้
ครีมกันแดดที่ใช้อยู่ เป็นแบบดูดซับรังสียูวี หรือ สะท้อนรังสียูวี ... ถ้าครีมดูดซับรังสียูวีไว้ ก็จะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นบนผิวหน้า ทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาด้วย ... สารเคมีประเภท PABA จะเป็นสารดูดซับรังสียูวี ที่มักใช้ในครีมกันแดดทั่วไป

ครีมกันแดดชนิดเคมี (Chemical Sunscreen) เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ทำหน้าที่ในการปกป้องแสงแดด ด้วยการดูดซับรังสีเข้าผิวหนังแล้วเปลี่ยนเป็นความร้อน เพื่อป้องกันไม่ให้แสงผ่านลงในชั้นผิวหนังได้ (เนื้อครีมจะเป็นข้น ๆ น้ำนมเหมือนเนื้อครีมทั่วไป ซึมซับได้ง่าย) ซึ่งหลังจากโดนแดดสักพัก สารเคมีเหล่านี้ก็จะเสื่อมสภาพ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เราต้องทาครีมกันแดดทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง
...ถ้าครีมดูดซับรังสียูวีไว้ ก็จะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นบนผิวหน้า ทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาด้วย  สารป้องกันแดดประเภทนี้บางชนิดจะดูดซับได้เฉพาะรังสี UVA หรือ UVB หรือทั้งสองอย่าง สารเคมีที่ใช้ผสมในครีมกันแดด คือ Panimate O, Bensophenone, Cinnamates, Antranilate, Homosalate และ Oxybenzene ซึ่งครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้ง่ายขึ้นด้วย โดยเฉพาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่าย
สารที่กันได้เฉพาะรังสี UVA คือ benzophenones และส่วนที่กันได้เฉพาะรังสี UVB คือ cinnamates, PABA, PABA derivatives