วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

15 แหล่งสกปรกสุดยี้ที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

 
 
 
โทรศัพท์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต

เชื่อหรือไม่ว่าสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตนี่ล่ะคือแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดี มีการวิจัยพบว่าบนจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตมีเชื้อโรคสะสมมากกว่าโถส้วมถึง 20 เท่า ! โดยเฉพาะเชื้อโรค E. coli และ Staphyloccocus aureus ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังต่าง ๆ โรคปอดอักเสบ และการติดเชื้อในกระแสเลือด เชื้อโรคเหล่านี้ถูกนำมาติดโดยการใช้นิ้วสัมผัสบนจอโทรศัพท์โดยไม่ได้ล้างก่อน ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รักษาสุขอนามัยถึงขนาดล้างมือบ่อย ๆ และไม่ยอมทำความสะอาดหน้าจอบ่อย ๆ ทำให้เชื้อโรคสะสมอยู่บนจอโทรศัพท์ ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว

วิธีการแก้ไขก็ไม่ยาก เพียงทำความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตด้วยน้ำยาทำความสะอาดจอทัชสกรีนโดยเฉพาะอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และล้างมือทุกครั้งก่อนและหลังใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต เพราะเป็นการยั้บยั้งเชื้อโรคได้ดีที่สุด นอกจากนี้ไม่ควรใช้โทรศัพท์ร่วมกับใครเพื่อป้องกันเชื้อโรคติดต่ออีกด้วย

15 แหล่งสกปรกสุดยี้ที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

คีย์บอร์ด เม้าส์คอมพิวเตอร์

บางครั้งสิ่งที่เราละเลยที่จะทำความสะอาดอย่างคีย์บอร์ดและเม้าส์คอมพิวเตอร์เพียงเพราะคิดว่ามันไม่ได้สกปรกซักเท่าไหร่นี่ล่ะ คือแหล่งสะสมเชื้อตัวฉกาจเชียวล่ะ ไม่ใช่เพียงแค่เจ้าปุ่มเล็ก ๆ บนคีย์บอร์ด หรือปุ่มบนเม้าส์เพียงเท่านั้นที่มีเชื้อโรคสกปรกสะสมอยู่ แต่บรรดาตามซอกเล็กๆ หรือร่องของคีย์บอร์ดก็เป็นแหล่งกักเก็บฝุ่นและเชื้คโรคที่คุณอาจจะคาดไม่ถึง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่าง ๆ

การรักษาความสะอาดอุปกรณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดคอมพิวเตอร์อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง นอกจากนี้ยังควรแกะคีย์บอร์ดออกมาทำความสะอาดอย่างน้อยเดือนละครั้งด้วย

กระเป๋าสะพาย เป้ กระเป๋าสตางค์

เราใช้กระเป๋าชนิดต่าง ๆ ในการเก็บข้าวของ แต่หารู้ไม่ว่าภายในกระเป๋าคือแหล่งกักเก็บเชื้อโรคที่เราคาดไม่ถึงเชียวล่ะ โดยมีการวิจัยพบว่าบริเวณก้นกระเป๋านั้นเต็มไปด้วยเชื้อโรคมากกว่าหมื่นตัว นอกจากนี้กระเป๋าสตางค์ก็เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่อันตรายไม่แพ้กัน ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้มาจากธนบัตรและเหรียญนั่นเอง เชื้อโรคส่วนใหญ่ที่พบล้วนเป็นอันตราย ได้แก่ Staphylococcus สาเหตุของทำให้เกิดตาแดง นอกจากนี้ยังมีเชื้อ Salmonella และ E.coli ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ และท้องเสียอีกด้วย

วิธีการรักษาความสะอาดก็ไม่ยาก เพียงนำกระเป๋าไปตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อโรคและหมั่นทำความสะอาดกระเป๋าบ่อย ๆ ด้วยทิชชู่เปียกที่มีสารเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการนำกระเป๋าไปวางในที่ที่สกปรกด้วย

15 แหล่งสกปรกสุดยี้ที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

เงิน

เงิน ไม่ว่าจะเป็นธนบัตรหรือเหรียญต่างก็เต็มไปด้วยเชื้อโรคที่ส่งผ่านกันมามือต่อมือ ซึ่งเป็นแหล่งเชื้อโรคที่ผู้คนละเลยมากที่สุด โดยผลการศึกษาจากคณะนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ระบุว่า บนธนบัตร 1 ใบ จะมีเชื้อแบคทีเรียสะสมโดยเฉลี่ย 26,000 ตัว ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้มีผลอันตรายกับผู้ที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ

ทั้งนี้ แม้เราจะไม่สามารถทำความสะอาดธนบัตรหรือเหรียญที่รับมาได้ แต่การรักษาความสะอาดที่ดีที่สุดคือการล้างมือทุกครั้งที่จับหรือสัมผัสกับเงิน เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคเหล่านั้นค่ะ

15 แหล่งสกปรกสุดยี้ที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

รีโมท

เราหยิบจับรีโมทกันอยู่บ่อย ๆ แต่หารู้ไม่ว่ามันคือแหล่งสะสมเชื้อโรคเช่นกัน เพราะน้อยคนจะนึกถึงว่ารีโมทเป็นสิ่งที่ควรทำความสะอาดด้วยเช่นกัน ทำให้บรรดาเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มาจากสัมผัสโดยตรงกับมือของเราซึ่งยังไม่ผ่านการล้างทำความสะอาดตามสุขอนามัยที่ถูกต้อง สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของรีโมท

วิธีการทำความสะอาดก็ไม่ยาก เพียงแค่ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดทำความสะอาดบ่อย ๆ และควรจะล้างมือก่อนและหลังจับรีโมทเพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย

15 แหล่งสกปรกสุดยี้ที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

หมอน - เตียงนอน

หมอนและเตียงนอนที่เราใช้เพื่อพักผ่อนในทุก ๆ คืนนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรก เพราะในทุกคืนที่เรานอนหลับนั้นผิวของเราก็จะผลัดเซลล์ที่ตายออก ซึ่งตกอยู่บนเตียงนอนและหมอน นอกจากนี้ยังมีบรรดาเศษสิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มาจากกิจกรรมที่เราทำบนเตียงนอน ไม่ว่าจะเป็นการนอนโดยไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า การนำของมาวางไว้ หรือแม้แต่การนำอาหารขึ้นมากินบนเตียงนอน และเมื่อเรานอนในเวลากลางคืนก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เชื้อโรคเหล่านั้นจะเข้าสู่ร่างกายของเรา

อย่างไรก็ตาม แสงแดดและน้ำร้อนสามารถทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคที่อยู่บนหมอนและเตียงนอนได้ เพียงนำปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนมาซักด้วยน้ำร้อนสัปดาห์ละครั้ง และหมั่นนำเอาหมอนและเตียงนอนมาตากแดดบ่อย ๆ เท่านี้ก็เป็นการกำจัดเชื้อโรคและเศษสิ่งสกปรกต่าง ๆ ได้ค่ะ

15 แหล่งสกปรกสุดยี้ที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

สวิตช์ไฟ

สวิตช์ไฟเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่เราต้องใช้อยู่ทุกวันแต่ก็ละเลย จากการศึกษาในประเทศอังกฤษพบว่า บนสวิตช์ไฟมีเชื้อแบคทีเรียถึง 217 ตัวต่อตารางนิ้ว โดยเฉพาะสวิตช์ไฟห้องน้ำนั้นมีเชื้อโรคอาศัยอยู่มากกว่าหลายเท่าตัว ทำให้เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคชั้นดีไปสู่บุคคลอื่น ๆ จากการสัมผัสอีกด้วย

รู้แบบนี้แล้ว อย่าละเลยทำความสะอาดสวิตช์ไฟเด็ดขาด เพียงใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะช่วยทำให้สวิตช์ไฟของเราสะอาดและปราศจากเชื้อโรคค่ะ

มือจับประตู ลูกบิด

มือจับประตูและลูกบิดคือจุดอันตรายจากเชื้อโรคอีกจุดหนึ่งที่ถูกมองข้าม ร้อยทั้งร้อยเชื่อว่ามากกว่า 90% ของเชื้อโรคอาศัยอยู่ โดยเฉพาะมือจับประตูและลูกบิดประตูบ้าน แต่การหมั่นล้างมือและเช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคบ่อย ๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 -3 ครั้ง เป็นการช่วยทำให้มือจับประตูและลูกบิดปราศจากเชื้อโรคได้

15 แหล่งสกปรกสุดยี้ที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

เครื่องปรับอากาศ

ใครว่าเครื่องปรับอากาศที่เป็นใช้กันอยู่เป็นประจำนั้นไม่มีเชื้อโรค มันคือแหล่งกักเก็บและแพร่เชื้อโรคชั้นดีเลยต่างหากล่ะ เพราะเชื้อโรคที่อยู่ในอากาศนั้นจะถูกดักเอาด้วยแผ่นกรองอากาศ แต่บางครั้งเราก็ลืมที่จะนำมันออกมาทำความสะอาดจนแผ่นกรองอากาศเหล่านั้นสกปรกทำให้เชื้อโรคเหล่านั้นแพร่กระจายออกมา ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคภัยต่าง ๆ เช่น ภูมิแพ้ ผื่นผิวหนังอักเสบ หืดหอบ ปอดบวมจากเชื้อลีเจียนแนร์ วัณโรค สุกใส งูสวัด หัดเยอรมัน และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ

วิธีทำความสะอาดก็ง่าย ๆ เพียงเรานำแผ่นกรองอากาศออกมาทำความสะอาดเดือนละครั้ง หมั่นทำความสะอาดภายในบริเวณเครื่องปรับอากาศอยู่เสมอเพื่อและควรจะล้างแอร์อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง

15 แหล่งสกปรกสุดยี้ที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

ฝักบัว

ฝักบัวเป็นแหล่งสะสมเชื้อราและแบคทีเรียที่เราละเลยทั้งที่ใช้อยู่ทุกวัน เพราะคงจะหาคนที่ทำความสะอาดฝักบัวทุกวัน หรือแม้แต่จะทำความสะอาดทุกสัปดาห์ก็ยังเป็นไปได้ยาก ซึ่งเชื้อโรคที่อยู่ในฝักบัวนั้นเป็นสาเหตุของโรคปอดอีกด้วยค่ะ

การทำความสะอาดฝักบัวในเบื้องต้นคือการนำน้ำส้มสายชูหรือแอมโมเนียเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และหมั่นถอดฝักบัวออกมาทำความสะอาดด้วยแปรงสีฟันกับผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจาน หากเป็นฝักบัวที่ถอดออกไม่ได้ ก็นำถุงพลาสติกใส่น้ำส้มสายชูแล้วนำหัวฝักบัวแช่ในถุงข้ามคืนหลังจากนั้นค่อยทำความสะอาดอีกครั้งหนึ่งค่ะ

15 แหล่งสกปรกสุดยี้ที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

ผ้าเช็ดตัว

ผ้าเช็ดตัวเป็นสิ่งที่ไม่ควรใช้ร่วมกัน เพราะในผ้าเช็ดตัวนั้นมีเชื้อโรค Staphylococus ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังซุกซ่อนอยู่ นอกจากนี้ หากปล่อยให้ผ้าเช็ดตัวชื้นเป็นเวลานานก็จะทำให้เกิดเชื้อราอีกด้วย

เราควรเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อสุขอนามัยที่ดี และควรนำผ้าเช็ดตัวไปตากในที่แห้งทุกครั้งหลังจากเชื้อ เพื่อให้ไม่เกิดเชื้อรา

15 แหล่งสกปรกสุดยี้ที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

แปรงสีฟัน

แปรงสีฟันเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดเพราะเราต้องเอามันเข้าปากอยู่เช้าเย็น ดังนั้นจึงยิ่งต้องควรรักษาความสะอาดอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้ว่าเราจะทำความสะอาดอย่างไรแต่ผลวิจัยก็เคยพบว่า ในแปรงสีฟันก็ยังมีเชื้อจุลินทรีย์อย่างน้อย 10 ล้านตัว !!! ยิ่งถ้าวางอยู่ใกล้บริเวณชักโครกก็ยิ่งสกปรกขึ้นอีก นอกจากนี้ยังมีเชื้อโรคที่ติดมาจากน้ำลายและเสมหะของผู้ใช้อีกด้วย

ดังนั้น นอกจากทำความสะอาดแปรงสีฟันให้สะอาดทุกครั้งที่ใช้แล้ว เราควรทำความสะอาดที่เก็บแปรงสีฟันให้สะอาดอยู่เสมอ และควรเปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างน้อยทุก 3 เดือน เพื่อสุขอนามัยของช่องปากและสุขภาพของตัวเราเอง

15 แหล่งสกปรกสุดยี้ที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

โถส้วม

แชมป์ของแหล่งสะสมเชื้อโรคคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากโถส้วม ยิ่งเป็นโถส้วมในห้องน้ำสาธารณะยิ่งสกปรกกว่าโถส้วมในห้องน้ำตามบ้านเรือนปกติหลายเท่าตัว และโถส้วมนั้นนอกจากจะเป็นแหล่งของสะสมของเชื้อโรคแล้วยังเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคที่อันตรายและร้ายแรงอีกด้วย

เช่นนี้แล้ว ก็ควรหมั่นทำความสะอาดโถส้วมและฝารองนั่งบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค นอกจากนี้เมื่อใช้โถส้วมเสร็จทุกครั้งควรกดน้ำหรือราดน้ำด้วยทุกครั้ง และล้างมือหลังจากใช้เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกายอีกด้วย

15 แหล่งสกปรกสุดยี้ที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

อ่างล้างจาน ฟองน้ำ

อ่างน้ำจานและฟองน้ำเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรีย รวมทั้งเชื้อราจำนวนมาก ทั้งชนิดที่รุนแรงและไม่รุนแรง อย่างเช่น "เชื่อซัลโมเนลล่า" ซึ่งเป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษหรืออุจจาระร่วง หากนำไปใช้ล้างและขัดถูภาชนะต่าง ๆ คนเราก็มีสิทธิ์เอาเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้

การทำความสะอาดอ่างล้างจานและฟองน้ำก็ไม่ยาก เพียงใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับล้างอ่างล้างจานที่มีสารกำจัดเชื้อแบคทีเรียล้างอ่างล้างจานอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และนำฟองน้ำที่ใช้สำหรับล้างจานไปตามแดดอย่างน้อย 2 -3 ชั่วโมงเพื่อให้แสงแดดช่วยทำลายกรดและเชื้อแบคทีเรียในฟองน้ำ

15 แหล่งสกปรกสุดยี้ที่อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

ตู้เย็น

ตู้เย็นเป็นแหล่งอาหารชั้นเลิศของบ้าน และเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่าง ๆ อีกด้วย เพราะเชื้อโรคเป็นจำนวนเติบโตได้ดีในอากาศเย็น ทำให้เชื้อโรคที่ติดมากับภาชนะใส่อาหารหรืออาหารสดต่าง ๆ สามารถเติบโตและแพร่กระจายอยู่ในตู้เย็น โดยเฉพาะเจ้าแบคทีเรียที่ชื่อ ลิสเทอเรีย (Listeria) ซึ่งหากเข้าสู่ร่างกายอาจทำให้เกิดอาการหนาวสั่น ปวดท้อง หรือปวดศีรษะได้

ดังนั้นเราจึงควรหมั่นเช็ดทำความสะอาดอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และควรเช็ดทำความสะอาดตู้เย็นด้วยน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อเดือนละครั้งอีกด้วย

วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เคล็ดไม่ลับประจำแม่บ้าน สำหรับครอบครัวรักสะอาดและสุขภาพ


เคล็ดไม่ลับประจำแม่บ้าน

การรักษาเครื่องซักผ้า

เวลา ที่ไม่ใช้เครื่องซักผ้า ให้เปิดฝาทิ้งไว้เสมอ ช่วยรักษาแผ่นยางที่อยู่ตรง

ประตูเครื่องและช่วยให้เครื่องไม่มีกลิ่น

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ล้างห้องน้ำด้วย โค้ก

การ ทำความสะอาดชักโครกให้ปราศจากคราบและดูเหมือนใหม่เสมอ

คือ ให้ชักโครกกินโค้กซะบ้างเทโค้กใส่ลงในชักโครก ปล่อยให้ชักโครกดื่มโค้กอย่างสบายใจสักสองสามชั่วโมงคราบสกปรกจะหลุดออกหมด

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

น้ำตาเทียนหยดใส่ พื้น

ไม่ว่าจะเป็นพื้นพรม พื้นไม้ หรือโต๊ะ ตู้ ถ้ามีน้ำตาเทียนหยดใส่ อย่ามัวแต่นั่งแกะให้เสียเวลา ให้เอากระดาษทิชชู่หนา ๆวางบนคราบน้ำตาเทียนนั้น แล้วเอาเตารีดไฟปานกลาง มารีด ๆ น้ำตาเทียนจะหลุดติดกับทิชชู่ ระวังอย่าให้ไฟแรงมากเดี๋ยวไหม้

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ทำให้บ้านหอม

ไม่ ต้องพึ่งสเปรย์หอม ให้เอาส้มเช้งมาปักไว้ด้วยกานพลูหลาย ๆ ดอก

วางทิ้งไว้ตามจุดต่าง ๆ ในบ้านใส่แก้วสวย ๆ ก็จะดูดี ดูเหมือนของตกแต่ง

ทีนี้กลิ่นในบ้านจะหอมหวนตลอด เวลา

ข้อควรระวัง ต้องหมั่นเปลี่ยนส้มซักหน่อย อย่าทิ้งไว้จนเน่า

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ไมโครเวฟหอมชื่นใจ

เอา ชามใส่น้ำอุ่นบีบมะนาว วางไว้ตรงกลางไมโครเวฟ เปิดเครื่องร้อนสุดห้านาที

ความร้อนจากน้ำ จะทำให้คราบสกปรกหลุดโดยง่าย และมะนาวจะช่วยให้กลิ่นหอม

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ลอกสติ๊กเกอร์

สติ๊กเกอร์ ที่แปะตู้เย็น คอมพิวเตอร์ หรือตามผนัง อะไรก็ตาม เวลาเบื่อแล้วจะลอกทิ้งไป ให้ใช้น้ำมันก๊าดชุบผ้าหมาด ๆ เช็ดถูตรงสติ๊กเกอร์ แล้วปล่อยทิ้งไว้สักพัก

สติ๊กเกอร์จะหลุดออกมาโดยง่าย

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

กระจกใส

น้ำยา เช็ดกระจก นอกจากจะมีสารเคมีแล้วยังเสียเงินแพงอีกด้วย ใช้วิธีนี้จะดีกว่า

ให้เอาน้ำอุ่นใส่ถัง เอาหอมใหญ่มาปอกเปลือกแล้วผ่าสี่ ใส่หอมลงไปในถัง

เช็ดกระจกได้ใสแจ่มเหมือนใหม่

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ทำความสะอาดเตาอบ

1. ตั้งเตาอบไว้ที่ความร้อน 200 องศาเซลเซียส ปล่อยไว้ 3 นาที แล้วจึงปิดเครื่อง

2. เอาหม้อใส่น้ำเดือดตั้งไว้ ที่พื้นเตาอบ

3. เอาชามทนไฟใบเล็ก ๆ ใส่แอมโมเนีย วางบนตะแกรงเตาอบ เหนือหม้อน้ำเดือดที่ใส่ไว้

4. ปิดฝาเตาอบทิ้งไว้หลาย ๆ ชั่วโมง แล้วค่อยนำผ้ามาเช็ดทำความสะอาดเตาอบ

คราบต่าง ๆ จะหลุดลอกออกมาโดยง่าย

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

กำจัดกลิ่นไม่พึง ประสงค์ในตู้เย็น

1. เอากาแฟเย็นใส่ถ้วยวางไว้หนึ่งคืน กลิ่นจะหายไปดังปลิดทิ้ง

2. เอามันฝรั่งผ่าครึ่งใส่ชามเล็ก ๆ วางไว้ มันฝรั่งจะดูดกลิ่นไปหมด

3. เอาถุงชาที่ยังไม่ได้ชงใส่ ไว้ ถุงชาจะซับกลิ่นเช่นเดียวกับมัน ฝรั่ง จะวางถุงทิ้งไว้ต

ลอดก็ได้ซักสองอาทิตย์ก็เปลี่ยนครั้งนึง ตู้เย็นจะได้หอมตลอดกาล

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

กำจัดกลิ่นบนเขียง

หลัง จากที่ใช้เขียง หั่นหอมกระเทียม เขียงมักจะเก็บกลิ่นฉุนไว้ติด แน่นให้เอามะนาวผ่าซีก

มาถูบนเขียงให้ทั่วแล้วล้างออก กลิ่นจะหายไป

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

กำจัดขนสัตว์เลี้ยง

ขน สัตว์เลี้ยงที่ติดตามโซฟา เบาะ กำจัดได้โดยใส่ถุงมือยาง ชุบน้ำหมาด ๆ

แล้วเอาถุงมือนี่แหละไปถู ๆ ตามโซฟา ขนจะม้วนติดกันเป็นก้อน ๆ เก็บทิ้งได้ง่าย

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ไล่แมวแบบนิ่ม ๆ

เอา แผ่นอลูมิเนียมฟอยล์วางไว้บนที่ที่ไม่อยากให้แมวมา แมวเกลียดเจ้าแผ่นนี้มาก

จะเป็นเพราะเสียงกรอบแกรบ หรือแสงสะท้อนก็ไม่ทราบ

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ไล่แมลงวัน

แมลงวันชอบเข้ามาอยู่ในครัว ให้เอาแก้วใส่น้ำอุ่นครึ่งแก้ว ใส่น้ำส้มสายชูลงไป

ซัก 2-3 ช้อนโต๊ะใส่น้ำตาลนิดนึง ปิดฝาแก้วด้วยพลาสติก จิ้มรูไว้หลาย ๆ รู

แมลงวันได้กลิ่นแล้วจะหนีไป

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ไล่แมงมุม

แมงมุมชอบมาชักไยไว้ตามซอกมุมต่าง ๆ วิธีไล่แมงมุมง่าย ๆ คือ วางชามใส่เกลือไว้

ตรงซอกที่แมงมุมชอบชักไย เกลือจะดูดความชื้น ทำให้แมงมุมสร้างไยไม่สำเร็จ

DrSant บทความสุขภาพ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์(chaiyodsilp@gmail.com)
5 กรกฎาคม 2557

หมอสันต์แนะนำตัวเอง ในโอกาสที่มีผู้อ่านครบ 4 ล้านครั้ง

วันนี้เป็นวันที่ผู้มีผู้อ่านบล็อกนี้ครบ 4,000,000 ครั้ง ทุกวันจะมีคนเปิดอ่านวันละประมาณ 5,000 ครั้ง ตอนกลางวันอ่านกันชั่วโมงละประมาณ 300 คน จนปัญญาที่ผมจะบอกได้ว่าคนไหนเป็นครั้งที่สี่ล้าน ถ้าบอกได้ผมจะเสนอตั๋วไปนอนเล่นที่ Health Cottage ฟรีให้เสียหน่อย แต่นี่บอกไม่ได้จริงๆ

ในโอกาสมีผู้อ่านครบสี่ล้านครั้งนี้ ผมขอเอาเทปแนะนำตัวเองที่บันทึกไว้จากคอร์สสุขภาพที่ผมสอนไม่กี่วันมานี้มาถอดให้ท่านได้อ่านกันนะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
...............................................................
 
สวัสดีครับ
ผม สันต์ ใจยอดศิลป์ นะครับ จะอยู่ด้วยกันกับท่านตลอดการฝึกอบรมนี้สามวัน เรียกว่าจะเป็นวิทยากรหลักให้ท่าน เป้าหมายที่เรามาพบกันที่นี่ก็คือแบงค์อยากจะให้ท่านมีชีวิตในวัยเกษียณที่มีคุณภาพและมีสุขภาพดี แต่การจะมีสุขภาพดี ก็คือการเอาชนะนิสัยเดิมๆที่ไม่ดีของเราเอง ซึ่งเป็นอะไรที่แบงค์ตามไปเนรมิตให้ทุกท่านไม่ได้ แต่ก็พยายามทำเท่าที่แบงค์จะทำให้ได้ คือติดอาวุธอันเป็นความรู้และทักษะในการดูแลตนเองให้ท่านก่อนเกษียณ แล้วที่เหลือท่านก็เอาอาวุธนี้ไปออกรบเอาเอง

เมื่อตะกี้เจอกันนอกห้อง มีท่านหนึ่งทักผมว่าถ้าดิฉันโชคดีมีสุขภาพดีอย่างคุณหมอก็คงจะดี ซึ่งผมยังไม่ทันได้ตอบเพราะเจอกันแป๊บเดียว ขอตอบตอนนี้เสียเลย ว่าผมเองตอนตั้งต้นก่อนเกษียณก็ไม่ได้มีสุขภาพดีนะครับ จริงๆแล้วตอนก่อนเกษียณผมก็เป็นคนป่วยหลายโรคเหมือนหลายๆท่านในห้องนี้เนี่ยแหละ

ผมจะเล่าที่มาที่ไปให้ฟังนะครับ คือตัวผมนี้ความจริงเป็นหมอหัวใจ หรือพูดให้ชัดกว่านั้นอีกหน่อยก็คือเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ ความชำนาญของผมก็คือผ่าตัดแก้ไขหลอดเลือดหัวใจตีบหรือที่เรียกว่าผ่าตัดบายพาส การใช้ชีวิตในวัยทำงานของผมก็ค่อนข้างใช้แบบสำบุกสำบันเหมือนกับหลายท่านในนี้ซึ่งผ่านวันเวลาแบบนั้นมาหมาดๆ คือทำงานมาก มากเกินไป และไม่ได้สนใจที่จะฟูมฟักดูแลร่างกายมากนัก เพราะมันก็ดีๆของมันอยู่ การผ่าตัดหัวใจเป็นงานที่มักจะต่อเนื่อง พูดง่ายๆว่าติดลม บางวันกว่าจะเสร็จก็สามสี่ทุ่ม กลับถึงบ้านก็ใกล้เที่ยงคืนไปแล้ว ลูกเมียเขาหลับกันหมดแล้ว ผมต้องไปค้นตู้เย็นหาอะไรกิน เมียเขาจะจัดอาหารโปรดของผมไว้ คือเค้กซาราลี บัทเทอร์เค้ก นั่นแหละของชอบ ผมกินมันทุกคืน แล้วผมเนี่ยสมัยที่ทำงานอยู่ไม่ดื่มน้ำเปล่านะครับ ดื่มโค้กแทนน้ำเปล่า วันหนึ่งก็หนึ่งลิตรขึ้นไป เพราะดื่มน้ำเปล่ามันไม่สะใจ แล้วเราก็มีเงินซื้อ ใครจะทำไม ในที่ทำงานผมดื่มกาแฟวันละหลายแก้วเพราะทำงานบริหารด้วย เวลานั่งประชุมฟังลูกน้องพูดเพ้อเจ้อผมก็จิบกาแฟไป วิธีชงกาแฟของผมก็เป็นมาตรฐานไทยแลนด์ คือ ทรี-อิน-วัน หมายความว่าน้ำตาล ครีมเทียม กาแฟ ผสมกันมาเสร็จเรียบร้อยในซองเดียว ใช้ชีวิตแบบนี้เรื่อยมา จนถึงวันที่เริ่มป่วย

ตอนนั้นผมอายุห้าสิบปลายๆแล้ว มันเริ่มด้วยอาการเวลาทำงานมากๆแล้วแน่นๆหน้าอกไม่สบาย จิตใจก็ค่อนข้างหงุดหงิดงุ่นง่านจนลูกน้องเข้าหน้าไม่ติด ตอนนั้นทำสองจ๊อบ คือเป็นหมอผ่าตัดหัวใจด้วย เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลด้วย วันหนึ่งตอนเลิกงานประมาณเกือบสามทุ่ม เลขาหน้าห้องมาดักรอผมอยู่ที่ประตู แล้วรวบรวมความกล้าบอกผมว่า

“อาจารย์รู้ตัวหรือเปล่าคะ ว่าอาจารย์นะ...หงุดหงิด”

พอเจอจิ้งจกทัก ผมก็มานั่งมองตัวเอง เออ..สงสัยเราจะป่วยจริงๆแฮะ จึงหยุดงานไปให้หมอรุ่นน้องตรวจประเมินสุขภาพอย่างจริงจัง โดยธรรมชาติของหมอจะเหมือนกันทั้งหมอไทยและหมอฝรั่ง คือไม่เคยทำการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะถือว่าตัวเองเป็นหมอดูแลตัวเองอยู่ทุกวันอยู่แล้ว เมื่อผมตัดสินใจไปตรวจสุขภาพประจำปี ก็ได้มาหลายโรค อย่างแรกก็คือความดันเลือดสูงถึงขั้นต้องใช้ยา อย่างที่สองก็คือไขมันในเลือดสูงถึงขั้นต้องใช้ยา อย่างที่สามก็คือเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ซึ่งทราบได้จากการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ตรวจดูแคลเซียมที่หลอดเลือดหัวใจ อย่างที่สี่ก็คือลงพุง คือน้ำหนักเกิน และส่วนใหญ่มาอยู่ที่พุง ไม่อ้วน แต่หุ่นเป็นแบบไอ้เท่งหนังตะลุง คือหลังค่อมพุงแอ่น นั่นคือตัวผมเมื่ออายุราว 56ปี หมอรุ่นน้องซึ่งเป็นหมออายุรกรรมหัวใจก็ให้ยามาหลายตัว หนึ่งโรคก็หนึ่งตัว แถมอีกตัวหนึ่งคือยากล่อมประสาท แสดงว่าหมอเขาคิดว่าผมเป็นโรค ปสด. ด้วย

ผมกินยาตามหมอสั่งได้สองเดือนโดยใช้ชีวิตแบบเดิม ทำงานเหมือนเดิม อาการทั้งด้านร่างกายและจิตใจไม่มีอะไรดีขึ้น แถมมีอาการซึมกะทือจากยากล่อมประสาทอีกด้วย จิตใจก็แย่ การเป็นคนป่วยนั่นก็แย่ระดับหนึ่งแล้ว ยังมีความเบื่องานบวกเข้าไปอีก ทั้งๆที่เป็นเจ้านายเขาแต่มันก็เบื่อ มองอนาคตตัวเองด้วยความกังวล ว่าวันนี้เราเป็นความดันสูง ไขมันสูง หลอดเลือดหัวใจตีบ กินยาหนึ่งกำมือ สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าคืออะไรผมมองออกหมดแล้ว ถึงจุดหนึ่งก็ต้องไปทำบอลลูน ทำไปสักสองสามครั้งแล้วก็ต้องไปผ่าตัดบายพาส อย่างที่ผมทำให้คนไข้ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นแหละ ทำแล้วบ้างก็ดีขึ้น บ้างก็ไม่ดีขึ้น บ้างก็ตาย เพียงแต่คราวนี้จะเปลี่ยนเป็นตัวผมนอนอยู่บนเขียง ให้หมอรุ่นน้องคนอื่นเป็นคนผ่าตัดให้

ในช่วงที่ผ่าตัดอยู่ วันไหนอารมณ์ดีๆผมจะบอกหมอที่เป็นลูกศิษย์ว่าคุณรู้ไหม วันหนึ่งข้างหน้าคนรุ่นหลานของเราจะเล่าสู่กันฟังด้วยความตลกขบขันว่าสมัยคุณปู่เนี่ย คนเราทำไมโง่จังนะ แค่ไขมันอุดหลอดเลือดหัวใจ หมอสมัยนั้นต้องเอาคนไข้มาผ่าแบะหน้าอกออกเพื่อทำบายพาสหลอดเลือด คือผมพูดอย่างนี้กับลูกน้องเพื่อจะย้ำให้เขาเห็นว่าการผ่าตัดบายพาสเป็นการรักษาแบบเกาไม่ถูกที่คัน แต่เราก็ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ อย่างน้อยตอนนี้ยังไม่มี เพื่อให้เขาซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ขยันค้นคว้าวิจัยหากวิธีรักษาที่ดีกว่านี้ แต่ว่ามาถึงตอนนี้ผมเป็นคนป่วยแล้ว และวันหนึ่งผมจะต้องมารับการรักษาด้วยวิธีซึ่งผมรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่า“ไม่ใช่” ผมจะทำอย่างไรดี มีวิธีอื่นอีกไหมที่จะดูแลตัวเองโดยไม่ต้องผ่าตัด คิดไปคิดมาแล้วคำตอบก็มีอยู่คำเดียว คือ...

“ไม่ทราบ”

ณ ตอนนั้นผมเรียนจบแพทย์มาได้สามสิบปีแล้ว ผ่านการเป็นแพทย์ทั่วไป แล้วไปฝึกอบรมเป็นศัลยแพทย์ทั่วไป ทำงานพักหนึ่งแล้วไปฝึกอบรมเป็นศัลยแพทย์ทรวงอก ทำงานพักหนึ่งแล้วไปฝึกอบรมต่างประเทศเป็นศัลยแพทย์หัวใจ ทำงานพักหนึ่งแล้วก็ค่อยๆจำกัดชนิดการผ่าตัดลงจนแทบจะเหลือแต่การผ่าตัดบายพาส คือมุดรูเล็กลงๆเรื่อยๆ เหลือความรู้อยู่แต่เรื่องที่ตนเองเชี่ยวชาญอยู่นิดเดียว สามสิบปีที่ผ่านไป มีความรู้อะไรใหม่ๆเกิดขึ้นในวิชาแพทย์บ้าง ผมไม่ได้ติดตามเลย ผมตัดสินใจถอยกลับมาเรียนวิชาแพทย์ใหม่ด้วยตนเอง ทั้งๆที่ยังทำงานอยู่นั่นแหละ ผมทำในสิ่งที่นักวิชาการเขาเรียกว่า “การทบทวนวรรณกรรม (literature review)“คือถอยไปตั้งต้นย้อนยุคเมื่อผมจบแพทย์ใหม่ๆ แล้วไล่มาทีละปีพ.ศ.ว่านับตั้งแต่นั้นมามีงานวิจัยทางการแพทย์อะไรใหม่ๆเกิดขึ้นโดยที่ผมไม่ทราบบ้าง

ผมได้พบว่ามีงานวิจัยการรักษาโรคหัวใจที่ให้ผลเหลือเชื่อเกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย ทั้งๆที่ผมเองก็เป็นหมอหัวใจ ผมจะยกตัวอย่างงานวิจัยบางงานที่เตะตาผมจังๆให้ท่านทราบนะ

งานวิจัยนี้ชื่อ EUROSAPIRE เป็นงานวิจัยขนาดใหญ่ ใช้คนไข้โรคหัวใจถึง 13,935 คน ทำในโรงพยาบาลชั้นดีในยุโรป 67 รพ. ใน 22ประเทศ และมีระยะติดตามดูนานถึง 12 ปี คือเขาติดตามดูคนไข้โรคหัวใจขาดเลือดที่ได้รับการรักษาตามวิธีมาตรฐานปัจจุบัน กล่าวคือกินยา บอลลูน บายพาส คือจะดูว่าถ้าเป็นคนไข้ที่ดี หมอบอกให้กินยาก็กิน และรักษาอยู่กับโรงพยาบาลที่ดี หมอดี เครื่องมือดี ดูซิว่าผ่านไป 12 ปี แล้วคนไข้จะมีอะไรดีขึ้นบ้างไหม ผลวิจัยที่ได้ก็คือ ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย อย่างเรื่องความอ้วน ยิ่งรักษากันไปก็ยิ่งอ้วนเผละยิ่งขึ้น ผ่านไปสี่ปีคนอ้วนเพิ่มขึ้น 25% ผ่านไปแปดปี เพิ่มขึ้นอีก 33% ผ่านไปสิบสองปี เพิ่มขึ้นเป็น 38%

มาดูความดันเลือดบ้าง ผ่านไปสี่ปีคนเป็นความดันเลือดสูงเพิ่มขึ้น 32% ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น43% ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 56% เรียกว่ารักษาไปรักษามากลายเป็นความดันเลือดสูงซะมากกว่าครึ่ง มาดูการเป็นเบาหวานก็ได้ ผ่านไปสี่ปีเป็นเบาหวาน 17% ผ่านไปแปดปีเพิ่มเป็น20% ผ่านไปสิบสองปีเพิ่มเป็น 28% คือการแพทย์แผนปัจจุบันนี้รักษาคนไข้โรคหัวใจยิ่งทำกันไปก็ยิ่งสาละวันเตี้ยลง พูดเป็นภาษาจิ๊กโก๋ก็คือ

“..วิธีการรักษาโรคหัวใจของการแพทย์แผนปัจจุบันที่ทำกันอยู่นี้มัน..ไม่เวอร์ค”

คราวนี้มาดูงานวิจัยนี้นะ หมอคนนี้ชื่อ Caldwell Esselstyn เขาเป็นหมอทางด้านต่อมไร้ท่อ เขาได้ทำงานวิจัยโดยเอาคนไข้โรคหัวใจของเขามา 22 คน จับทุกคนสวนหัวใจ ฉีดสี ถ่ายรูปไว้หมด ว่าคนไหน หลอดหัวใจตีบที่หลอดเลือดเส้นไหน ตีบมากตีบน้อยแค่ไหน แล้วถ่ายรูปไว้ แล้วให้คนไข้เหล่านี้กินแต่อาหารมังสะวิรัต กินอยู่นาน 5 ปี แล้วเอาคนไข้ทั้งหมดกลับมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปใหม่ แล้วเอารูปครั้งแรกและครั้งที่สองมาเปรียบเทียบกัน ก็พบว่าหลอดเลือดหัวใจตีบของคนไข้เหล่านี้กลายเป็นโล่งขึ้น อย่างตัวอย่างคนไข้คนนี้ ก่อนเริ่มวิจัย ผลฉีดสีเป็นอย่างนี้ คือเวลาเราฉีดสีเข้าไปในหลอดเลือดแล้วถ่ายเอ็กซเรย์ออกมาเป็นภาพยนตร์ ตัวสีจะเห็นเป็นสีขาวอย่างนี้ เวลาที่สีวิ่งผ่านจุดที่หลอดเลือดหัวใจมันตีบแคบหรือขรุขระ เนื้อสีสีขาวมันก็จะถูกบีบให้แคบและเห็นขอบขรุขระด้วยอย่างนี้ ส่วนภาพนี้เป็นผลการฉีดสีหลังจากกินมังสะวิรัติไปแล้วห้าปี จะเห็นว่ารอยตีบรอยขรุขระที่หลอดเลือดหายไป เหลือแต่ลำสีที่วิ่งได้เต็มหลอดเลือดตามปกติ

นี่เป็นหลักฐานวิทยาศาสตร์ชิ้นแรกที่ยืนยันว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่เราเชื่อกันมาแต่เดิมว่าเป็นแล้วไม่มีทางหายนั้นไม่เป็นความจริง ผลการติดตามฉีดสีซ้ำนี้ยืนยันว่ามันหายได้ และในงานวิจัยของเอสเซลส์ทินนี้ ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้มันหายคือการปรับอาหารการกิน

ผมเห็นงานวิจัยนี้ครั้งแรกผมทึ่งมาก ทั้งๆที่เขาทำไว้ตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว แต่ผมเองเป็นหมอหัวใจผมกลับไม่ทราบเลย เห็นอย่างนี้ผมเชื่อแล้วว่าโรคหลอดเลือดหัวใจมันหายได้ แต่ผมยังมีข้อกริ่งเกรงอยู่ประเด็นหนึ่ง คือตัวผมเองก็เป็นนักวิจัย งานวิจัยที่ไม่ได้สุ่มกลุ่มตัวอย่างออกเป็นสองกลุ่มไว้เปรียบเทียบกันนั้น จะสรุปเอาดื้อๆว่าหลอดเลือดตีบหายเพราะปรับอาหารย่อมไม่ได้ มันต้องมีงานวิจัยแบบเดียวกันที่เอาคนไข้มาสุ่มตัวอย่างเป็นสองกลุ่มแล้วเปรียบเทียบกันดู จึงจะพิสูจน์ได้จะจะว่ามันหายเพราะปรับอาหารจริงหรือไม่

แล้วผมไม่ต้องรอนานเลย หมอคนนี้ชื่อ Dean Ornish เขาเป็นหมอหัวใจ เขาได้ทำงานวิจัยที่เอาไข้โรคหัวมาเกือบร้อยคนจับฉลากแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ใครจับได้เบอร์ดำ ไปเข้ากลุ่มควบคุมซึ่งไม่ต้องทำอะไรนอกจากใช้ชีวิตแบบที่เคยทำมาตามปกติ ใครจับได้เบอร์แดงไปเข้ากลุ่มที่ต้องปรับชีวิต คือต้องทำสามอย่าง ได้แก่ (1)ต้องกินอาหารมังสะวิรัติบวกปลา บวกนมไร้ไขมัน (2)ต้องออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 ครั้ง (3)ต้องจัดการความเครียดด้วยการทำสมาธิตามดูลมหายใจ หรือรำมวยจีน หรือโยคะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทุกวัน ก่อนเริ่มวิจัยก็เอาทุกคนทั้งสองกลุ่มมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปหลอดเลือดไว้ก่อน พอครบหนึ่งปีก็เอามาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก พอครบห้าปีก็เอาทุกคนมาสวนหัวใจฉีดสีถ่ายรูปอีก ผลวิจัยที่ได้ยืนยันงานวิจัยของเอสเซลส์ทีน คือ กลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบที่หัวใจโล่งขึ้น ขณะที่กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอบตีบเดินหน้าตีบแคบลง ผลการสวนหัวใจเมื่อห้าปีก็ยิ่งยืนยันว่ากลุ่มที่ปรับชีวิตรอยตีบก็ยิ่งโล่งขึ้นอีก กลุ่มที่อยู่เฉยๆรอยตีบก็ยิ่งตีบแคบลงอีก ต้องเจ็บหน้าอกบ่อยกว่า เข้าโรงพยาบาลบ่อยกว่า

มาถึงตรงนี้โรคหลอดเลือดหัวใจนั้นชัดแล้วว่ามันหายได้ด้วยการกินอาหารที่มีพืชเป็นหลัก ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด แล้วความดันเลือดสูงละ ผมได้ค้นคว้าต่อไปอีก ก็พบว่ามีงานวิจัยการลดความดันเลือดโดยไม่ใช้ยาทำไว้เป็นจำนวนมาก เรียกว่าเป็นหลักฐานที่ชัดเจน ผมสรุปมาให้ดูตรงนี้คือถ้าลดน้ำหนักได้ 10 กก.ความดันตัวบนจะลดลง 20 มิล ถ้ากินอาหารมังสะวิรัติบวกนมไร้ไขมันบวกปลาความดันตัวบนจะลดลง 14มิล ถ้าออกกำลังกาย ความดันตัวบนจะลดลง 9 มิล ถ้าเลิกกินเค็ม ความดันตัวบนจะลดลง 8 มิล ถ้าบวกสี่อย่างนี้เข้าด้วยกันความดันตัวบนก็จะลดลงได้มากโดยที่ไม่ต้องใช้ยาเลย

คราวนี้โดยบังเอิญ ผมก็ไปพบงานวิจัยปรับชีวิตเพื่อรักษาเบาหวานเข้า งานวิจัยนี้เรียกว่างานวิจัย DPPRGเขาเอาคนที่มีน้ำตาลในเลือดสูงกว่า100 มา 3234 คน มาจับฉลากแบ่งเป็นสามกลุ่ม กลุ่มที่ 1. ให้ปรับชีวิตในสามประเด็นคืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด กลุ่มที่ 2. ให้กินยาเบาหวานซะเลยรู้แล้วรู้รอด กลุ่มที่ 3. ไม่ต้องทำอะไร ใช้ชีวิตไปตามปกติของตน แล้วตามดูคนพวกนี้ไปสี่ปี ดูว่าใครจะป่วยเป็นโรคเบาหวานมากกว่ากัน ผลเป็นอย่างนี้ครับ

กลุ่มที่ไม่ทำอะไรเลยเป็นเบาหวานมากที่สุด กลุ่มที่กินยาเบาหวานเป็นเบาหวานรองลงมา ส่วนกลุ่มที่ปรับชีวิตเป็นเบาหวานน้อยที่สุด น้อยกว่ากลุ่มแรกเกินสองเท่าตัว

ผมศึกษางานวิจัยถึงการปรับอาหารเพื่อลดไขมันในเลือดและลดการเป็นโรค เริ่มต้นผมก็มาสะดุดที่งานวิจัยขนาดใหญ่ของฮาร์วาร์ดอันนี้ ในงานวิจัยนี้ ฮาร์วาร์ดตามดูคนแปดหมื่นกว่าคนนาน 12 ปี เพื่อจะดูว่าการกินไขมันแบบไหนทำให้ป่วยและตายจากโรคหลอดเลือดหัวใจมากที่สุด โดยใช้แคลอรี่ที่เท่ากันเป็นตัวเทียบ และเอาแคลอรี่จากอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นเกณฑ์มาตรฐาน พูดง่ายๆว่าเป็นงานวิจัยเทียบระดับความชั่วร้ายของไขมันชนิดต่างๆ ก่อนหน้านี้ผมมีความเข้าใจว่าน้ำมันหมู น้ำมันวัว หรือที่เรียกกันว่าไขมันอิ่มตัวนั้น เป็นไขมันที่ชั่วร้ายที่สุด แต่พอมาศึกษางานวิจัยนี้จึงรู้ว่าเข้าใจชีวิตผิดไปแล้ว

ผลของงานวิจัยนี้ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุดคือไขมันทรานส์ ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตถึง 93%ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูน้ำมันวัวที่ทำให้ป่วยและตายมากกว่าคาร์โบไฮเดรตสิบกว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น คือสรุปว่าไขมันทรานส์นี้ชั่วร้ายกว่าน้ำมันหมูหลายเท่า

ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าไขมันทรานส์นี่มันอะไรกันวะ เมื่อศึกษาเพิ่มเติมจึงได้ทราบว่าไขมันทรานส์นี้แต่ก่อนมันมีในอาหารของมนุษย์เราน้อยมาก เพราะมันไม่มีอยู่ในธรรมชาติ แต่เมื่อยี่สิบปีก่อนคนเราเกิดความกลัวน้ำมันหมูน้ำมันวัวแบบขี้ขึ้นสมอง คนก็หันไปหาน้ำมันพืชซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว เช่นน้ำมันถั่วเหลือง แต่ว่าน้ำมันไม่อิ่มตัวนี้มันเอามาทำอาหารอุตสาหกรรมไม่ได้ เพราะมันเหลวเละ อัดเป็นก้อนไม่ได้ ทำให้เป็นผงก็ไม่ได้ นักอุตสาหกรรมจึงเอาน้ำมันพืชมา แล้วใส่ไฮโดรเจนเข้าไปเพื่อให้โมเลกุลของมันมีความเสถียร ทำเป็นก้อนได้ ทำเป็นผงได้ น้ำมันที่ได้จากการใส่ไฮโดรเจนนี้เรียกว่าไขมันทรานส์ มันทำมาจากน้ำมันถั่วเหลืองก็จริง แต่มันกลายเป็นน้ำมันอีกอย่างไปแล้ว คุณสมบัติมันเปลี่ยนไปแล้ว เหมือนคนเคยเป็นเสื้อเหลืองตอนนี้เปลี่ยนเป็นเสื้อแดง มันคนละเรื่องแล้ว แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนวงการแพทย์ยังไม่รู้ เราก็เอาไขมันทรานส์มาทำอาหารอุตสาหกรรมเช่นเนยเทียม ครีมเทียมใส่กาแฟ และเอามาทำ เค้ก คุ้กกี้ ขนมกรุบกรอบต่างๆ เหล่านี้แหละคือไขมันทรานส์

ผมถึงบางอ้อเลย เพราะผมดื่มกาแฟ “ทรีอินวัน” ใส่ครีมเทียมและน้ำตาลก้อนวันละหลายแก้ว มีคุ้กกี้ควบกับกาแฟเสมอ แถมกลับบ้านโซ้ยเค้กซาราลีเป็นมื้อเย็นอีก เรียกว่าผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของไขมันทรานส์ ไขมันที่ชั่วร้ายที่สุดมาซะนานนะเนี่ย อุตส่าห์เลิกแคบหมูของโปรดนึกว่าจะได้ดี..ที่ไหนได้

ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง คือผมทบทวนงานวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐาน จนผมสรุปข้อมูลได้แน่ชัดว่าหากเรากินอาหารคาร์โบไฮเดรตเข้าไปมาก ไม่ว่าจะเป็นข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว แป้ง น้ำตาล หากคาร์โบไฮเดรตมันเหลือใช้ ร่างกายจะเปลี่ยนมันเป็นไขมันเก็บไว้ และทำให้ระดับไขมันเลวในร่างกายเพิ่มขึ้น และเมื่อผมตามไปดูงานวิจัยที่มาของคาร์โบไฮเดรตในอาหารของคนอเมริกัน ก็พบว่า 35%มาจากเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลเช่นน้ำอัดลมต่างๆ อ้าว..เอาอีกแล้วผม เพราะผมดื่มโค้กแทนน้ำเปล่า ผมรับมาเต็มๆอีกแล้ว//

มาถึงจุดนี้ เห็นงานวิจัยพวกนี้ ผมสรุปได้แล้วว่าทางไปอยู่ที่ไหน ทางไปคือต้องปรับชีวิตในสามประเด็น คืออาหาร ออกกำลังกาย และจัดการความเครียด ผมตัดสินใจเลย...ต้องเดินหน้าทดลองกับตัวเอง

ผมโยนยาที่หมอให้มาทิ้งหมด เอาแบบพระเจ้าตากทุบหม้อข้าวก่อนเข้าตีเมืองจันทร์

เอาเรื่องอาหารก่อน เริ่มด้วยการเปลี่ยนโค้กเป็นโค้กซีโร่ ปรากฏว่าไม่ได้ผล เพราะมันบ่แซ่บ เมื่อลิ้นมันเรื่องมากผมจึงตัดบทเปลี่ยนจากโค้กซีโร่มาเป็นน้ำเปล่าซะเลยให้รู้แล้วรู้รอด เพราะไหนๆมันก็จืดแล้วก็เอาให้จืดสุดๆไปเลย

ทีนี้ก็มาถึงเค้ก ผมติดเค้ก อย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว วิธีแก้ของผมง่ายมาก คือผมออกกฎหมายห้ามนำเค้กเข้าบ้าน ลูกเมียพาลอดกินเค้กกันหมด ได้ผลปึ๊ดเลย

ก็เหลือเรื่องเดียว คือต้องทานผักผลไม้ให้มากขึ้น ตามมาตรฐานที่แนะนำโดย USDA คือต้องทานให้ได้ถึงวันละ 5 เสริฟวิ่ง หนึ่งเสริฟวิ่งนิยามว่าเท่ากับผักสดหนึ่งจาน หรือผลไม้ลูกเขื่องๆเช่นแอปเปิ้ลหนึ่งลูก วันหนึ่งต้องได้ 5 เสริฟวิ่ง โอ้โฮ จะเอาเวลาที่ไหนมาเคี้ยวกันละครับ เพราะทุกวันนี้แค่อาหารตามมื้อปกติยังจะไม่มีเวลาเคี้ยวเลย แต่ก็พอดีช่วงนั้นมีเครื่องปั่นอาหารด้วยความเร็วสูงเข้ามาขายในบ้านเรา คือความเร็วสูงถึงสามหมื่นรอบต่อนาที ขณะที่เครื่องปั่นอาหารทั่วไปความเร็วอย่างมากก็แค่สามพันรอบต่อนาที ด้วยรอบที่สูงขนาดนี้ ทำให้สามารถปั่นส่วนของผลไม้แข็งๆเช่นเม็ดในขององุ่นหรือฝรั่งให้กลายเป็นของเหลวที่ดื่มได้เลย เขาเอามาปั่นผลไม้ที่แช่แข็งแล้วให้กลายเป็นน้ำแข็งฝอยคล้ายไอศครีมซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าเชอร์แบท ก่อนหน้านั้นผมเองเคยได้อ่านหมออเมริกันคนหนึ่งเขียนถึงการรักษาคนสูงอายุที่ฟันไม่ดีและเป็นโรคขาดวิตามินด้วยวิธีการปั่นผักและผลไม้จนเหลวเป็นน้ำให้ดื่มจะได้ไม่ต้องเคี้ยว ผมจึงบอกภรรยาซื้อเครื่องปั่นแบบนี้มาลองดู ตื่นเช้าก็เอาผลไม้และผักอะไรก็ได้ที่เหลือจากห้องครัวโยนใส่โถแล้วปั่นให้เป็นน้ำ แต่งรสด้วยมะนาวกับน้ำผึ้งนิดหน่อยให้พอกระเดือกได้ แล้วใส่ขวดโค้กยักษ์จุหนึ่งลิตรไปดื่มที่ที่ทำงาน ค่อยๆดื่มไปตั้งแต่มื้อเช้ายันมื้อเที่ยง พอบ่ายก็ทานสลัดที่ภรรยาทำใส่กล่องพลาสติกไปให้ กาแฟก็เปลี่ยนเป็นกาแฟดำ คุ้กกี้ที่ทานกับกาแฟก็เปลี่ยนเป็นถั่วหรือนัทที่ภรรยาอบมาให้จากบ้าน เป็นอย่างนี้ทุกวันเช้ายันเย็นไม่ทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวหรือของแข็งอะไรอื่นเลย มีมื้อเย็นมื้อเดียวที่ผมทานอาหารปกติกับลูกเมียที่บ้าน แต่ก็ลดข้าวลงจากหนึ่งจานเต็มๆเหลือสองช้อน สองช้อนโต๊ะนะครับ ไม่ใช่สองทัพพี ชีวิตแบบนี้ก็ดีนะครับ สุขสบายกว่าเดิม โดยเฉพาะมื้อกลางวันไม่ต้องออกไปทานข้างนอกต้องคอยรับไหว้เด็กๆตั้งแต่เดินไป นั่งกิน แล้วเดินกลับ ไม่หนุกเลย

คราวนี้ก็มาถึงเรื่องการออกกำลังกาย ปัญหาแรกก็คือเวลา เพราะเช้าก็ต้องรีบไปทำงาน เย็นกลับมาก็สองสามทุ่ม ทานอาหารเสร็จก็ได้เวลานอนแล้ว ตอนแรกผมใช้วิธีออกไปเดินเร็วๆในหมู่บ้าน หมาเห่ากันเกรียวเพราะมันค่ำแล้ว แล้วผมเนี่ยมีนิสัยไม่ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือชอบทะเลาะกับหมามาตั้งแต่เด็ก การออกไปวิ่งแต่ละครั้งแทนที่จะผ่อนคลายกลับกลายเป็นความเครียด จึงต้องเปลี่ยนใหม่ ซื้อเครื่องวิ่งสายพานมา มาตั้งไว้ในห้องทีวี ใหม่ๆก็ขยันเดินขยันวิ่งด้วยความลำบาก เพราะหากจะออกกำลังกายให้ได้ผลดีอย่างที่งานวิจัยเขาบอกไว้ ต้องออกกำลังกายให้ถึงระดับหนักพอควร ซึ่งนิยามว่าต้องหอบแฮ่กๆจนร้องเพลงไม่ได้ และต้องต่อเนื่อง ซึ่งนิยามว่าต้องแฮ่กๆต่อเนื่องกันไปอย่างน้อย 30 นาที และต้องสม่ำเสมอ ซึ่งนิยามว่าต้องทำแบบนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ซึ่งพอลงมือทำแล้วมันไม่ง่ายเลย พอออกกำลังกายแล้วมันก็ปวดเมื่อย เหนื่อย และนอนมาก แต่เวลาของเรามีน้อย เริ่มต้นก็ทำได้ถี่ แล้วก็ค่อยๆห่างไปๆ จนเครื่องเดินสายพานกลายเป็นเครื่องประดับรกห้องทีวี ท้ายที่สุดทนดูมันไม่ได้ต้องย้ายไปไว้บนชั้นสาม เด็กคนใช้ชอบใจเพราะได้ที่ตากผ้าขี้ริ้ว ผมเปลี่ยนไปซื้อเครื่องโยกแบบที่เรียกว่า elliptical มาแทน ก็ล้มเหลวอีก แล้วก็พยายามใหม่ แล้วก็ล้มเหลวอีก แล้วก็พยายามใหม่อีก แบบว่า..ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น เวลาผ่านไปหกเดือน ก็ยังออกกำลังกายไม่สำเร็จ

ในที่สุดผมต้องนั่งจับเข่าคุยกับตัวเองว่าถ้าผมเชื่อว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ผมต้องทำมันก่อนสิ่งอื่นในแต่ละวัน เพราะในวิชาการบริหาร หลักการบริหารเวลาคือทำเรื่องสำคัญก่อน ดังนั้นตื่นเช้าขึ้นมาผมต้องออกกำลังกายก่อน ถ้าไม่ได้ออกกำลังกาย ยังไม่ต้องทำเรื่องอื่น เพราะเรื่องอื่นไม่สำคัญเท่า ฟันก็ไม่ต้องแปรง ถ้าไม่ได้ออกกำลังกายก็ไม่ต้องออกจากบ้าน เพราะฟันไม่ได้แปรงจะออกจากบ้านได้ยังไง มีบางวันที่ผมทะเลาะกับตัวเองแบบนี้จริงๆ คือ

“..วันนี้ต้องรีบแปรงฟัน เพราะจะไปประชุมแต่เช้า”

“..ไม่ได้ เอ็งยังแปรงฟันไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ออกกำลังกาย”

“..จะบ้าเหรอ”

“..ไม่บ้าหรอก เราคุยกันแล้วนะ ว่าจะทำเรื่องสำคัญก่อน”

ในที่สุดสูตรนี้ก็เวอร์ค ผมตื่นมา ออกกำลังกายก่อน เริ่มตั้งแต่ในที่นอนเลย แล้วก็ไปต่อที่สนามหญ้าหน้าบ้าน วิ่งบ้าง ดึงสายยืด ยกดัมเบล เอาจักรยานออกไปขี่บ้าง รำมวยจีนบ้าง แล้วในที่สุดก็ทำได้อย่างต่อเนื่อง

หลังจากออกกำลังกายได้ต่อเนื่องเดือนเดียว ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป พุงยุบจนเปลี่ยนกางเกงตามไม่ทัน น้ำหนักลดลง มองโลกในแง่ดีมากขึ้น และมีความกล้าตัดสินใจที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองมากขึ้น พอผ่านไปได้หกเดือน ครบกำหนดตรวจร่างกายประจำปี ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติหมด ทั้งความดันเลือด ไขมันในเลือด และน้ำหนัก มันเหลือเชื่อจริงๆ การเปลี่ยนชีวิต ทำให้ผมเลิกยาวันละกำมือได้ นี่ขนาดผมยังไม่ได้เริ่มทำอย่างที่สามจริงจังเลยนะ คือการจัดการความเครียด ผมยังไม่ได้เริ่มจริงจังเลย

ณ จุดนั้นผมมานั่งคิดใคร่ครวญดู ตัวเราหรือก็อายุก็ห้าสิบกว่าแล้ว จะผ่าตัดหัวใจให้คนไข้ไปได้อีกอย่างมากก็สองสามร้อยคนแล้วก็เกษียณ ผ่าไปแล้วพวกเขาใช่ว่าจะหายจากโรค อีกสิบปีถ้ายังไม่ตายก็จะพากันกลับมาให้ผ่าใหม่ แล้วเวลาในชีวิตของผมเองก็เหลืออยู่จำกัด ยิ่งเวลาในชีวิตงวดลง เวลาก็ยิ่งดูจะมีค่ามากยิ่งขึ้นทุกที ผมจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ทำผ่าตัดอีกต่อไปอย่างนี้หรือ ทำไม่ผมไม่ทิ้งการผ่าตัดให้คนรุ่นหลังเขาทำกันไปละ ตัวผมเปลี่ยนไปทำอะไรที่ช่วยคนไข้ในวงกว้างได้ถาวรกว่าการผ่าตัดหัวใจเสียไม่ดีกว่าหรือ

คิดได้แล้วผมก็ตัดสินใจเลย คือลาออกจากการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล เลิกผ่าตัดหัวใจ หันไปเรียนหนังสือใหม่ ไปฝึกอบรมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ครอบครัว จะได้ทำงานป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพได้เต็มไม้เต็มมือ อ่านหนังสือและทำวิจัยอยู่สองปีก็สอบเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์ครอบครัวหรือFamily Medicine ได้ ไปสอบกับหมอรุ่นเด็กๆตอนอายุห้าสิบปลายๆนะ ปูนนี้แล้วคนเราถ้าไม่ตั้งใจจริงก็คงไม่ทำ จากนั้นก็เปลี่ยนอาชีพมาเป็นหมอทั่วไป ไม่ผ่าตัด ไม่รักษาคนป่วยแล้ว แต่ให้คำแนะนำคนดีๆที่ยังไม่ป่วยว่าต้องเปลี่ยนชีวิตอย่างไร จึงจะไม่ป่วย ทั้งในรูปแบบพบกันแบบ face to face ที่คลินิก เขียนบล็อกสอนคนทั่วไปทางอินเตอร์เน็ท เขียนหนังสือสุขภาพ ทำรายการทีวี. เปิด Health Camp ที่มวกเหล็กเพื่อสอนเรื่องสุขภาพ และหาเวลามาสอนคนเป็นกลุ่มๆ อย่างที่เรามาพบกันวันนี้ และจะได้อยู่ที่นี่ร่วมกันที่รีสอร์ทแห่งนี้ไปอีกนานสามวันสองคืน

ครับ.. ที่ท่านได้รับฟังจบไปแล้วนั้นคือการแนะนำตัวเองของวิทยากร เป็นการแนะนำตัวเองที่ยาวสักหน่อยนะ ก่อนจะจบ session แนะนำตัวเองนี้ ผมเปิดโอกาสให้ทุกท่านได้พูดคุยแลกเปลี่ยนหรือซักถาม ใช้วิธียกมือแล้วน้องเขาจะเอาไมโครโฟนไปส่งให้ถึงที่เอง.. เชิญ lady first ขอทางนี้ก่อนนะครับ
 
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
 

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ความรู้เบื้องต้นในการรักษาสุขภาพให้ยืนยาว และสุขภาพแข็งแรง

ความดัน          บน ล่าง
    เริ่มต้น-50    110 70
    อายุ 50        130 85
    อายุ 60        140 90

เลขความดันตรงนี้ ถือว่าเป็นค่าปกติ
บน 110-140 ล่าง 70-90

*********************************************************************************

วิธีง่ายๆในการรักษาสุขภาพด้วยอาหารและผลไม้

++ จิบน้ำร้อน บ่อยๆ ช่วยปรับสมดุลย์ ความดันเลือด, ลดเส้นเลือดสมองตีบ, เบาหวาน, ต้อที่ตา, ไต

++จิบน้ำร้อน 1 ถ้วยกาแฟ หรือ 250 CC min. ก่อนอาหาร ลดความอ้วน

++การดื่มน้ำเย็นครั้งละมาก ๆ จะมีผลให้น้ำซึมเข้าสู่สมอง ซึ่งเป็นเหตุของการเกิดภาวะสมองบวมน้ำ รวมถึงน้ำอัดลม

++เบาหวาน กินน้ำตาลธรรมชาติได้ น้ำตาลฟรุตโตส, น้ำตาลปี๊ป (น้ำตาลปึก), โอวทึ้ง, น้ำผึ้ง

++หยุด น้ำตาลกรวด, น้ำตาลทรายแดง, น้ำตาลทราย, ซูโครส

++น้ำตาลทราย/น้ำตาลกรวด จะสะสมที่ตับเป็นไขมัน ก่อให้เกิดไตรกลีเซอร์ไรด์

++สำหรับน้ำตาลที่ฟอกขาว ซึ่งมีสารก่อมะเร็ง เซลล์มะเร็งชอบน้ำตาลมากที่สุด มีความสามารถในการดูดน้ำตาลในเลือดมากกว่าเซลล์ปกติ 24 เท่า

++ทุเรียน มี Anti - Oxidant, กำมะถัน (งด ข้าว) ช่วยลดมะเร็ง, ลดคลอเรสเตอรอล, ลดอ้วน, ลดไขมัน, ต้านแก่ ทำให้เป๋นหนุ่มสาวขึ้น

++น้ำแตงโม มีไวอาก้า ธรรมชาติ บำรุงเลือด, ละลายลิ่มเลือด ช่วยป้องกันเท้าชา โรคพากินสัน

++แกนสับปะรด มีสารบอมิเรน เป็นเอนไซม์ที่อยู่ในแกนสัปปะรด ลดมะเร็งปากมดลูก โดยให้ดูดแต่น้ำ แล้วคายกากทิ้ง

++กล้วยไข่  หยุดผมร่วง, ป้องกันอัลไซเมอร์, บำรุงสมองทำให้ฉลาด ความจำดี บำรุงตับ ไต, ป้องกันมะเร็ง, บำรุงกระดูก, บำรุงสายตา, รักษา Office Syndrome

++กล้วยน้ำว้า วันละ 2 ลูก เหมือน ๆ กล้วยหักมุก ปิ้งไฟทั้งเปลือก ลดไข้, ลดเจ็บคอ, บำรุงตับอ่อน, รักษาเบาหวาน, แก้ทอนซิลอักเสบ,

++กล้วยหอม (กล้วยเล็บมือนาง) 3 ผล / สัปดาห์ เป็น ฮอร์โมน ญ. มีโปแทสเซียม ป้องกันโรคพากินสัน และ อัลไซเมอร์, บำรุงสมอง, ป้องกันสมาธิสั้น

++น้ำมะพร้าวอ่อน ปรับสมดุลย์ ฮอร์โมน ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนวันละ 1 ลูก ช่วยฟอกเลือด และบำรุงไต
ส่วนเนื้อมะพร้าวช่วยบำรุงตับ ต้องซื้อแบบเป็นทลาย เเล้วเอามาปลอกเอง ไม่เอาแบบปลอกสีขาวแล้ว เพราะที่ร้านแช่สารฟอกขาว

++กะทิ ลด Cholesterol, ไม่อ้วน, ไม่เบาหวาน,

++น้ำมันมะพร้าว ช่วยลดความอ้วน โดยกินก่อนอาหารเช้า 4 ช้อนกาแฟ
         ใช้เป็น Hair Serum ลงหนังหัว, ลดหงอก, เพิ่มผมดกดำ หัวไม่ล้าน
         ใช้ล้างเครื่องสำอาง ใช้เป็นเดย์ครีม ไนท์ครีมได้ มี SPF 90 (Sun block)
         Oil Pulling  น้ำมันมะพร้าวที่ผ่านกรรมวิธีแบบหีบเย็น ปริมาณ 2 ช้อนชา อมและกลั้วน้ำมันมะพร้าว บีบให้น้ำมันวิ้งผ่านซอกฟันอย่างรวดเร็ว ประมาณ 15 นาที แล้วบ้วนทิ้ง ห้ามกลืนลงไป จะช่วยนำเชื้อโรคออกจากช่องปาก ปล ครั้งแรกทำไม่ถึง 15 นาที แต่ต่อไปจะทำได้เอง
น้ำมันมะพร้าวมี lauric acid สูงที่สุดในโลก (เหมือนที่มีในน้ำนมแม่)

++หยุด น้ำมันพืช เนื่องจากมีส่วนผสมของสารเคมี เมื่อน้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิ 60 องศา จะเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ตับจะทำหน้าที่ผลิต Cholesterol ซึ่งเป็นสารจำเป็นสำหรับร่างกาย และผลิต LDL และ HDL LDL (Low Density Lipoprotien ) และ HDL( High Density Lipoprotein ) ทั้งคู่ไม่ใช่ cholesterol แต่ถูกบริษัทยาหลอกให้วงการแพทย์เรียกว่า Bad Cholestorol และ Good Cholestorol LDL มีหน้าที่สำคัญคือฃ่อมแซม คือเข้าไปพอกแผลของรอยอักเสบในเส้นเลือด และ HDL ทำหน้าที่ดักจับ LDL ที่เป็นของเสียแล้วเป็นขยะ กลับมาทำลายที่ตับ

++การตากแดด  การแตกเเดดอ่อนๆ เวลาเช้า เย็น จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน D จะทำให้ช่วยลด Cholesterol ได้ แสงแดดช่วยป้องกันมะเร็งทุกชนิด

++น้ำมันมะพร้าว นำกะทิใส่ถุงแช่ตู้เย็น 3 ช.ม. เพื่อให้เนื้อกับน้ำแยกตัวกัน นำเนื้อมะพร้าวส่วนบนไปเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน เก็บไว้ใช้ได้ไม่เกิน 3 เดือน

++การสระผม ควรสระผมด้วยสบู่เด็ก ควรสระผมช่วงเช้า ไม่ควรสระผมตอนเย็น เพราะผมจะไม่สามารถแห้งได้ทัน เวลานอนจะเกิดเชื้อรากลางคืน เป็นเหตุของอาการคันศีรษะ และลงน้ำมันมะพร้าวที่หนังศรีษะ
เกลือ

++การบริโภคเกลือ ไม่ได้ทำให้ไตวาย แต่เนื่องจากในอุตสาหกรรมการผลิตเกลือที่ขาวละเอียดมีการเติมโพลิเมอร์ โดยหยดลงบนเกลือ ทำให้โครงสร้างจากเดิมโซเดียมคลอไรด์เปลี่ยนเป็นโซเดียมซัลเฟต ซึ่งมีผลต่อไต เพราะไม่สามารถขับออกได้ ซึ่งเกลือชนิดนี้จะโรยบนอาหารแล้วยังคงทำให้อาหารกรอบ แต่ถ้าเป็นเกลือที่เป็นโซเดียมคลอไรด์นั้น จะมีคุณสมบัติดูดความชื้นทำให้อาหารไม่คงความกรอบ
ควรใช้เกลือทะเลค่ะ จากภาคใต้จะดี ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมเยอะ

++ตะไคร้แกง นำมาหั่นแล้วต้มเป็นน้ำตะไคร้ ดื่มเพื่อช่วยลดเบาหวาน

++กาแฟ มีคาเฟอีน มีไว้ดม ไม่ควรกิน เพราะจะมีผลยับยั้งไม่ให้แคลเซียมไปเกาะกระดูก จึงมีโอกาสเป็นโรค กระดูกผุ กระตุ้นเซลมะเร็ง

++ไข่ ไข่ต้ม ไข่เค็ม ไข่พะโล้ โดยเฉพาะไข่แดง หากกินวันละ 2 ฟอง  จะช่วยลดน้ำตาลในเลือด (ลดเบาหวาน) เนื่องจากไข่แดงมีซิลิเนียม งานวิจัยของฮาวาร์ด พบว่าหากบริโภคไข่จะอายุยืน
         ไข่วันละ 3 ฟอง (อายุต่ำกว่า 45 ปี)
         บริโภควันละ 2 ฟอง (อายุ 45 ปี – 50 ปี)
         และบริโภควันละ 1 ฟอง (อายุเกิน 50 ปี)
ไข่ต้ม 1 ฟอง มีสรรพคุณสูงกว่านม 5 กล่อง

++การออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายทุกวัน  ออกกำลังกายอย่างง่าย ๆ เช่น
         1. การขยับนิ้วมือ เป็นการช่วยเรื่องน้ำในข้อ ผลที่ได้กระดูกจะไม่ผุ
         2. งอนิ้วมือ ช่วยในเรื่องของอาการนิ้วล็อค
         3. กำมือและแบมือสลับข้างกันไปมา ช่วยในเรื่องของโรคหัวใจ และลด Cholesterol
         4. นั่งบนเก้าอี้ กำมือ และขยับเท้ายกขึ้นทำท่าวิ่งบนอากาศ
         5. นั่งบนเก้าอี้ กำมือ ทุบขาด้านนอก และด้านใน ทุบแขน สลับกันไป
         6. การนั่งตรง ๆ นั่งแค่ครึ่งเก้าอี้ ประมาณ 10 นาที ช่วยป้องกันในเรื่องของ ริดสีดวงทวาร
         7. กำมือขวาหมุนเป็นวงกลมออกนอกตัว และกำมือซ้ายหมุนเป็นวงกลมเข้าหาตัว เป็นการบริหารสมองทั้ง 2 ซีก
         8. มือประสานกันสองของ ยืดตรงไปข้างหน้า เท้าห่างกันประมาณช่วงไหล มองตรง แล้วหมุนเอวไปรอบ ๆ ทั้งด้านซ้าย และขวา ครั้งละ 5 รอบ ทำตอนเช้า จะช่วยลดส่วนเกินตรงหน้าท้อง

++การพักผ่อน  ไม่ควรเกิน 4 ทุ่ม เพื่อให้ร่างกายได้หลั่งสารโกรธฮอร์โมน และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ควรนอนในห้องที่ปิดไฟสนิท ไม่มีแสงไฟอื่นๆ ส่องตาค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ชมรมคนรักสุขภาพ