วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

การที่คนรักษา ตายไปด้วยเป็นผลจากกระบวนการของระบบ คงไม่ใช่เรื่องการระบายอากาศอย่างเดียว ในสถานพยาบาล

ความจริงที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ บางคนก็ไม่อยากรู้...!!!
:::::::::::::::::::::::
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
.
การที่คนรักษา ตายไปด้วยเป็นผลจากกระบวนการของระบบ คงไม่ใช่เรื่องการระบายอากาศอย่างเดียว ในสถานพยาบาล
-ในรพรัฐ รพ ศูนย์ หอผู้ป่วยธรรมดา ก็เหมือน ICU แล้ว มีทั้ง ติดเชื้อ ไม่ติดเชื้อ นอนด้วยกันเรียงเป็นแถว ไม่อาจทราบได้ชัดเจน
-คนรักษา จะไม่มีทางทราบเลย mode ของ การติดต่อของเชื้อ เป็น dropletทางละอองฝอย ไอ จาม โดยตรง หรือหล่นไปติดตามเครื่องใช้ หรือ จากการสัมผ้สใกล้ชิด closed contact แมักระทั่ง การติดต่อทางการหายใจ air borne
-และคิดไม่ออก บอกไม่ได้ว่าการป้องกันจะเป็นระดับใด  รวมทั้งป้องกันตัวเองด้วย และจะให้ป้องกันครอบจักรวาลในทางปฏิบัติอางทำได้ยาก
-นี่เป็นเหตุผล ทำไม หมอ พยาบาล ที่บังคลาเทศ ตายทุกปี เพราะจะมี คนไข้เยื่อหุ้มสมอง สมองอักเสบ อาการทางเดินหายใจ มากมาย เข้ามาประจำวัน รวมทั้งที่เกิดจาก ไวรัส nipah ทุกคนอาการเหมือนกันหมด  และ nipah ติดต่อ คน สู่ คน หรืออย่าง MERS ซึ่งจากคนไข้คนเดียว เข้ารพ แดร่ทั้ว รพ และทั้งประเทศ
-ถ้าคนรักษามีคนไข้มากมาย ยิ่งทำให้ร่างกาย และการตัดสินใจ อ่อนแอไปด้วย
-ประกอบกับ สถานที่ รพ ไม่ได้ตั้งใจรองรับคนป่วยจำนวนขนาดนี้ เพราะฉนั้นไปทั้ง คนป่วย และคนรักษา
-ระบบการกันเชื้อแพร่ Infection control system คงต้องทำไปพร้อมกับปรับปรุงระบบ สุขภาพทั้งหมด แก้โดยการเพิ่มตึก เพิ่มเตียง เพิ่มหมอ พยาบาล เป็นการแก้ปลายเหตุเล็กๆ
-ทำไมคนไข้หน้าใหม่เกิดขึ้นมหาศาล และรุนแรง หลั่งไหลเข้า รพ เพราะเราป้องกันไม่ได้
-การชะลอคนเริ่มป่วยที่ยังไม่มีอาการ เช่น เบาหวาน ความดันสูง ทำไม่ได้
-คนเริ่มป่วยเข้าไม่ถึงการรักษา คนในตำบล ไปหา รพ ยาก คนรักษาก็อิดโรย
-ดังนั้น คนป่วยอาการหนักจะมากขึ้นเรื่อยๆ และไวต่อเชื้อ กลายเป็นที่เพาะเชื้อไปด้วย และรักษากันซึ้าซากมาจนกลายเป็นเชื้อดื้อยา
https://m.manager.co.th/Daily/detail/9600000052413

วันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เตือนระวังโรคทางเดินหายใจ

เตือนระวังโรคทางเดินหายใจ

ดูแลตนเองช่วงหน้าฝน ระบุตัวเปียกจากการ 

ตากฝนต้องรีบอาบน้ำทำตัวเองให้แห้ง พร้อมเตือนระวังโรคทางเดิน

หายใจ

ประชาชนดูแลตนเองช่วงหน้าฝน ระบุตัวเปียกจากการตากฝนต้องรีบอาบน้ำทำตัวเองให้แห้ง พร้อมเตือนระวังโรคทางเดินหายใจโดยเฉพาะโรคปอดบวม และอุบัติเหตุทางรถยนต์

ภายหลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ออกมาประกาศว่าจะมีฝนตกอย่างต่อเนื่องในหลายภูมิภาคไปอีกหลายวัน ดูแลตนเองในช่วงหน้าฝนว่า หากใครที่หลีกเลี่ยงการตากฝนไม่ได้หลังจากที่เปียกฝนแล้วจะต้องทำตัวเองให้แห้งโดยเร็วที่สุดโดยเมื่อกลับถึงบ้านต้องรีบถอดถุงเท้าและเสื้อผ้าที่เปียกฝนออกทันที เพราะการใส่เสื้อผ้าที่เปียก ทำให้ไม่สบายเป็นหวัด รวมไปถึงเป็นปอดบวมได้ จากนั้นให้รีบอาบน้ำ สระผม ทำร่างกายให้อบอุ่นทันที เพราะในน้ำฝนมีอาจะมีเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกติดมาด้วย ทั้งนี้ควรให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดเท้า โดยต้องใช้สบู่ฟอกทำความสะอาดเท้าที่ต้องเดินลุยน้ำฝนหรือน้ำเจิ่งนองที่อาจะมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่จนอาจะทำให้เท่าเกิดเชื้อราได้

ประชาชนยังต้องดูแลตนเองให้ปลอดจากโรคที่มักจะเกิดขึ้นในฤดูฝนคือโรคที่ติดเชื้อจากระบบทางเดินหายใจ เพราะเมื่ออากาศมีความชื้นมาก จะทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและแพร่เชื้อได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะโรคปอดบวมที่เป็นโรคซึ่งเกิดขึ้นกับระบบทางเดินหายใจ โดยปอดเกิดอาการอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา หรือพยาธิ โดยอาการเบื้องต้นจะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ น้ำมูกไหล ไอแห้ง มีเสมหะปนเลือด จามคัดจมูกเจ็บหน้าอกและมีอาการท้องเสียร่วมด้วย ทั้งนี้หากท่านพบเหตุผู้ป่วยที่เป็นโรคปอดบวมและอาการเข้าขั้นฉุกเฉิน คือ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ มีเลือดหรือเสมหะปริมาณมากในปาก หายใจเสียงดังโครกคราก ตัวซีดเหงื่อท่วมตัว และต้องลุกนั่งหรือพิงผนังหรือยืนเพื่อให้หายใจได้ ควรรีบโทรแจ้งสายด่วน 1669 เข้ามารับผู้ป่วยฉุกเฉินไปรักษาที่โรงพยาบาลให้ได้อย่างทันท่วงที 

อัตราคนมีปัญหาบรรจุไม่ได้ ก็ต้องมีมาตราการณ์ป้องกันคนที่ทำงานอยู่ ทำงานแบบมีคุณภาพชีวิตที่ดีหน่อยนะ ทุกวันนี้บุคลากรการแพทย์ต้องเสี่ยงติดเชื้อโรคในสถานที่ปฎิบัติการเพียบ

เมื่ออัตราคนมีปัญหาบรรจุไม่ได้ ก็ต้องมีมาตราการณ์ป้องกันคนที่ทำงานอยู่ ทำงานแบบมีคุณภาพชีวิตที่ดีหน่อยนะ ทุกวันนี้บุคลากรการแพทย์ต้องเสี่ยงติดเชื้อโรคในสถานที่ปฎิบัติการเพียบ เป็นอะไรขึ้นมา ไม่คุ้มกับการสูญเสียเลย
.

ช่วงนี้มีข่าวน้องหมอจบใหม่ เสียชีวิตค่อนข้างติดๆกัน รายแรกทราบว่าติดเชื้อวัณโรคจากคนไข้และเป็นเชื้อดื้อยารุนแรง อีกรายคือคุณหมอหนุ่มร่างกายกำยำที่สงสัยว่าปอดติดเชื้อจนมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือดและเสียชีวิตในที่สุด ก่อนอื่นพี่ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวของน้องหมอทั้งสองคนที่เชื่อว่าน้องๆทั้งคู่น่าจะเป็นความหวังและเสาหลักของครอบครัว

เรื่องการเสียชีวิตของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ไม่ใช่ครั้งนี้ครั้งแรก มีข่าวอยู่เนืองๆ ทั้งอุบัติเหตุจากการพักผ่อนไม่พอขับรถหลับใน โรคภัยไข้เจ็บ แม้กระทั่งการฆ่าตัวตายจากความเครียด จากหลากหลายปัจจัย ทำให้เราต้องสูญเสียคนหนุ่มสาวมีอนาคตที่ยังควรจะสามารถช่วยเหลือชีวิตผู้คนได้อีกหลายหมื่นหลายแสนคนไปอีก 30-40ปี

ส่วนหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือระบบงานสาธารณสุขของประเทศ ที่มีภาระงานหนักหน่วงเกินกว่าที่บุคลากรที่มีอยู่จะสามารถรับมือได้อย่างเพียงพอ การอยู่โยงเวร 72ชม. ได้นอนเป็นงีบๆ มีให้เห็นอยู่ในยุคปัจจุบัน การที่ต้องออกตรวจทั้งๆที่ตัวหมอตัวพยาบาลป่วย คาสายน้ำเกลือ ฉีดยาฆ่าเชื้อไปตรวจไป ยังเป็นเรื่องปกติในโรงพยาบาลรัฐ สุดท้ายแล้วถ้าปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข บุคลากรไม่ได้รับการเพิ่มจำนวนให้เพียงพอกับภาระงาน ไม่มีการควบคุมชั่วโมงการทำงานให้พอเหมาะ แต่ยังอ้างคำว่า "เสียสละ" และ "จรรยาบรรณ" มาก่อนตลอดเวลา เคสนี้ก็ยังไม่ใช่เคสสุดท้าย ที่เราจะต้องสูญเสียหมอหนุ่มสาวอายุน้อยไปก่อนวัยอันควร

ประเด็นที่ควรต้องพูดถึงกันจริงๆ อาจไม่ใช่การชื่นชมการเสียชีวิตในหน้าที่ (เราไม่ได้อยู่ในสนามรบ ไม่ได้ไปฆ่าฟันกับใคร เหตุแบบนี้มันไม่ควรเกิด) แต่คำถามสำคัญกว่านั้นคือ ระบบสาธารณสุขของประเทศนี้จะดูแลปกป้องบุคลากรให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร

สุดท้าย หากมีน้องๆหมอพยาบาลบุคลากรทางการแพทย์หรือสาขาอื่นๆได้อ่านอยู่ ในฐานะรุ่นพี่อยากฝากข้อคิดไว้ว่า การมีอุดมการณ์เป็นสิ่งดี การทุ่มเทแรงทั้งกายใจเพื่อช่วยชีวิตคนไข้เป็นเรื่องประเสริฐ แต่อย่าลืมดูแลตัวเอง และคนข้างหลัง เราไม่ได้จะเรียนจบออกมาเพื่อทำงานจนตายไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเอง และทิ้งคนข้างหลังเอาไว้โดยไม่มีโอกาสได้ดูแลใครในครอบครัวเลย

ป.ล. ในประเทศที่พัฒนาแล้วการตายของบุคลากรในที่ทำงาน จะได้รับการสอบสวนหาสาเหตุอย่างหนัก สิ่งที่ได้จะไม่ใช่แค่คำชื่นชมในหนังสือพิมพ์รายวันหน้าหนึ่ง
Admin Dr. Jame

https://web.facebook.com/Drnextdoor/?hc ... ED&fref=nf