แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ allergy แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ allergy แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

“เชื้อรา” อีกหนึ่งภัยเงียบภายในบ้าน

เชื้อรา เป็นเชื้อที่พบได้ในธรรมชาติทั้งในบ้านและนอกบ้าน ขยายหรือสืบพันธุ์ด้วยการสร้างสปอร์ (spore) เมื่อสปอร์ลอยไปติดที่ที่มีความชื้น จากนั้นจะเจริญเติบโตและทำลายบริเวณนั้น

เชื้อรานอกบ้านมีหน้าที่ในการสลายของเสีย เช่น ใบไม้ ต้นไม้ หรือขยะ แต่เมื่อเชื้อราเข้ามาอยู่ในบ้านจะส่งผลเสียต่อผู้อยู่อาศัย เนื่องจากสปอร์ของเชื้อราจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หายใจลำบาก คัดจมูก ผื่นคัน ภูมิแพ้ หอบหืด ปอดอักเสบจากภูมิแพ้ ระคายเคืองต่อตา จมูก หลอดลม ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน ดังนั้นเราสามารถควบคุมเชื้อราได้โดยการป้องกันและกำจัดเชื้อราตั้งแต่แรกเริ่ม


 
เชื้อรามักจะเกิดบริเวณที่อับชื้น เช่น ผนังห้องน้ำ ฝ้า ขอบหน้าต่าง บริเวณรอยรั่วของหลังคา ท่อระบายน้ำแอร์ วิธีกำจัดเชื้อราง่าย ๆ ที่ทำได้ด้วยตัวเองคือ เมื่อเกิดเชื้อราขึ้นกับพื้นที่หรืออุปกรณ์ใด ๆ แสดงว่ามีการรั่วซึม ชื้น ให้รีบทำบริเวณนั้นให้แห้งทันที สำหรับวัสดุผิวแข็งให้ล้างบริเวณที่เป็นเชื้อราด้วยน้ำสบู่และทำให้แห้ง หากเป็นพรม ฝ้า หรือวัสดุที่มีรู เมื่อเกิดเชื้อราให้โยนทิ้ง เพราะเราไม่สามารถทำความสะอาดเชื้อราที่อาศัยอยู่ในนั้นได้

ที่สำคัญไม่ควรทาสีบนอุปกรณ์ที่มีเชื้อรา ควรทำความสะอาดและทำให้แห้งแล้วจึงทาสีทับ ทั้งนี้ อย่าลืมป้องกันตัวเองระหว่างปฏิบัติงาน เช่น สวมหน้ากากอนามัยชนิด N95 เพื่อป้องกันการหายใจเอาเชื้อราเข้าไป หรืออาจจะใช้หน้ากากที่มีคุณภาพสูงกว่า ใส่ถุงมือยาวเป็ถุงมือยางเพื่อป้องกันเชื้อมาสัมผัส ใส่แว่นตาป้องกันเชื้อกระเด็นเข้าตา

สำหรับวิธีการป้องกัน เมื่อเกิดความชื้นขึ้นต้องแก้ไขรอยรั่วหรือซึมทันที ด้วยการล้างหรือทำให้บริเวณที่เปียกชื้นให้แห้งโดยทันที , ดูแลรางน้ำบริเวณหลังคามิให้มีสิ่งแปลอกปลอมที่จะขวางทางเดินของน้ำ , ตรวจสอบสนามหญ้าในบ้านว่ามีความลาดเอียงถูกต้องหรือไม่ เพื่อมิให้เกิดน้ำขังบริเวณบ้าน , ตรวจสอบเครื่องปรับอากาศว่าถาดรองน้ำมีสิ่งที่จะทำให้เกิดน้ำขังหรือไม่ , ตรวจสอบสายระบายว่าอุดตันหรือไม่ , รักษาความชื้นภายในบ้านให้ต่ำกว่า 60% (อาจจะซื้อเครื่องมือตรวจความชื้น) , หากคุณพบว่ามีคราบน้ำจับที่กระจก และรีบเช็ดให้แห้งพร้อมทั้งหาว่ามีน้ำรั่วที่ใดและให้รีบแก้ไข

นอกจากนี้ การลดความชื้นภายในบ้านก็สำคัญ อาทิ อย่าตากผ้าไว้ในบ้าน เตาต้มน้ำ ทำกับข้าว,ใช้เครื่องปรับอากาศหรือเครื่องลดความชื้น , ใช้พัดลมดูดอากาศในห้องน้ำหรือในห้องครัวเพื่อลดความชื้น , ให้อากาศภายในห้องถ่ายเทโดยการเปิดหน้าต่างหรือใช้พัดลมดูดอากาศภายในบ้าน , เพิ่มอุณหภูมิห้องโดยการเปิดหน้าต่างให้แสงแดดส่องเข้ามา , ใช้ผ้าพันวัสดุที่มีผิวเย็นเช่นโลหะ

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

กำจัดตัวไรฝุ่นได้จริงหรือไม่ ต้นเหตุสำคัญของโรคภูมิแพ้ในประเทศไทย


ภาพไรฝุ่นในเส้นใยฝ้า ไรฝุ่นนั้นเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กมาก จนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เพราะมี ขนาดเพียง 0.3 มิลลิเมตร เป็นสัตว์จำพวกแมลงแต่มีลักษณะคล้ายกับแมงมุม เห็บ หมัด และ มีขา 8 ขา  มีหลายพันธุ์ พบเห็นได้ที่เตียงนอน หมอน ผ้าห่ม และเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากเส้นใยอย่างโซฟาและพรมปูพื้น  จนเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนที่ใกล้ชิดเราก็ว่าได้ และเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคภูมิแพ้เยื่อจมูกอักเสบ ผิวหนังอักเสบ และโรคหอบหืด







 

ตัวไรฝุ่นนั้นส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตราย แต่อุจจาระและศพของพวกมันต่างหากที่ทำให้เกิดอาการแพ้แก่คน  และอาหารของตัวไรฝุ่น คือ เซลล์ผิวหนังของคนและสัตว์เลี้ยงที่หลุดลอกออกมา โดยทั่วไปผิวหนังของคน  นั้นจะหลุดลอกวันละประมาณ 1.5 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่มากพอที่จะเลี้ยงตัวไรฝุ่นให้เจริญเติบโตได้เป็นอย่างดีโดยเศษผิวหนังเพียง 1 กรัมก็สามารถเลี้ยงไรฝุ่น 1,000,000 ตัวเป็นเวลาถึง 1 สัปดาห์เต็มๆในประเทศไทยมากกว่า 98% ของห้องนอนสามารถตรวจพบไรฝุ่นได้ ไรฝุ่นอาศัยในบริเวณที่แสงส่องไม่ถึง ชอบความชื้น ไม่ทนต่อความแห้ง อาศัยขี้ไคล รังแค เป็นอาหาร ส่วนใหญ่ในบ้านเรือนจะอยู่ตาม ที่นอน หมอน เฟอร์นิเจอร์ พรม ผ้าม่าน ตุ๊กตาของเด็กเล่น ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว ถ้าอุณหภูมิเหมาะสมที่ 20 ถึง 35 องศา และความชื้นสัมพัทธ์อยู่ที่ 70 - 80% RH
การกำจัดไรฝุ่นเป็นเรื่องที่ยากมากๆ และเราไม่สามารถมองเห็นไรฝุ่นได้ด้วยตาเปล่า ปัจจุบันนิยมกันมากที่สุดคือใช้วิธีการควบคุมไรฝุ่นด้วยการใช้อุปกรณ์เครื่องนอนที่อ้างว่าควบคุมไรฝุ่นได้ แต่ผลการใช้ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่อ้าง อาการของผู้ป่วยไม่ได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เนื่องจากไรฝุ่นยังคงดำรงชีวิตอยู่ได้ไม่ได้ถูกกำจัดแต่อย่างใด(ไรฝุ่นจะกินราเป็นอาหารและราจะกินมูลไรฝุ่น เรียกว่าอยู่แบบ symbiosis)

ตารางที่ 1 สถิติความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ย % RH ของประเทศไทยในช่วงฤดูกาลต่างๆ

ภาค
ฤดูหนาว
ฤดูร้อน
ฤดูฝน
ตลอดปี
เหนือ
ตะวันออกเฉียงเหนือ
กลาง
ตะวันออก
ใต้ฝั่งตะวันออก
ใต้ฝั่งตะวันตก
73
69
71
71
81
77
62
65
69
74
77
76
81
80
79
81
78
84
74
72
73
76
79
80

จากตารางจะเห็นได้ทุกภูมิภาคของประเทศไทยมีสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยกับการแพร่กระจายและเจริญเติบโตของไรฝุ่นเป็นอย่างมาก

ปัจจุบันนอกจากไรฝุ่นแล้ว เป็นที่ยอมรับกันว่า เชื้อรา กลุ่ม Alternaria,Cladosporium, Aspergillus , Mucor, Rhizopus และ Merulius (1)เป็นตัวการของการเกิดสารก่อภูมิแพ้ในบ้านที่สำคัญรองจากไรฝุ่น และเป็นสาเหตุหลักในการเกิดโรคภูมิแพ้ ได้แก่ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือที่เรียกว่า โรคแพ้อากาศ ( allergic rhinitis ) และ โรคหืด ( Asthma) จากรายงานต่างๆทั่วโลกมีอุบัติการณ์เพิ่มมากขึ้นทุกๆปี โดยเฉพาะประเทศไทยที่เป็นประเทศในเขตร้อนชื้นจนเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ ที่ใช้งบประมาณและค่าใช้จ่ายในการความคุมและรักษาโรคนี้เป็นจำนวนมากในแต่ละปี

โดยปกติเชื้อราจะเจริญเติบโตในที่มีความชื้นสัมพัทธ์มากกว่า 60% RH ในบริเวณบ้านที่มีปริมาณเชื้อรามากได้แก่ภายในห้องที่มีความชื้นสูง โดยเฉพาะห้องที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่เมื่อเราปิดเครื่องปรับอากาศ ไอน้ำในอากาศจะเกิดการควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำเกาะตามผนังรวมทั้งบริเวณฝ้าและเพดาน ทำให้ที่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา

ปัจจุบันมีการใช้เครื่องกรองอากาศ ด้วยระบบ High efficiency particulate air filters (HEPA filters) แต่พบว่าไม่มีหลักฐานสนับสนุนที่เพียงพอในการช่วยลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้และลดอาการทางจมูกในโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ ดังนั้นการใช้เครื่องกำจัดไรฝุ่นและจุลชีพทางอากาศ(เครื่องปรับสภาพบรรยากาศ) ด้วยการควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ให้ต่ำคงที่และต่อเนื่องภายในบ้านจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะกำจัดเชื้อราได้ เพราะจากการศึกษาของ R.M. Sterling พบว่าการควบคุมความชื้นสัมพัทธ์ที่ร้อยละ 50 จะสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ดี รวมทั้งยับยั้งการเจริญเติบโตของไรฝุ่น เชื้อไวรัสและแบคทีเรียด้วย

นอกจากนี้ พบว่าคุณภาพอากาศภายในอาคาร(Indoor air quality) ก็เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อซึ่งเรามักมองข้ามไป และมีรายงานว่า เชื้อแบคทีเรียทางอากาศที่เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อหลังการผ่าตัด และเป็นปัญหาสำคัญในหอพักผู้ป่วยวิกฤต (Intensive Care Unit) จากสถิติของการตรวจสอบคุณสภาพอากาศโดยสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency -EPA) ได้ระบุว่า "ปริมาณเชื้อโรคภายในอาคารและบ้านเรือนนั้นมีมากกว่าบริเวณเปิดภายนอกอาคารหลายเท่าตัว" โดยเฉพาะในโรงพยาบาลที่เป็นอาคารที่รวมผู้ป่วยหลายๆโรคไว้และยังเป็นสถานที่ที่มีคนเข้าออกจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นแหล่งกักเก็บเชื้อก่อโรคที่พร้อมจะติดต่อจากผู้หนึ่งไปยังอีกผู้หนึ่งได้เป็นอย่างดี

เชื้อโรคที่สามารถแพร่กระจายทางอากาศมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือแม้แต่ไวรัส โดยเชื้อโรคที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ในการเกิดโรคของทางโสต ศอ นาสิก อาทิเช่น Streptococcus pneumonia, Haemophilus influenzae, Moraxella catarrhalis, Pseudomonas aeruginosa, Staphylococcus aureus, Mycoplasma pneumoniae, Aspergillus spp., Parainfluenza, Varicella-zoster, Adenoviruses ซึ่งเชื้อเหล่านี้สามารถแขวนลอยอยู่ในอากาศเป็นเวลานาน โดยปกติแล้วเชื้อโรคจะสามารถลอยอยู่ในอากาศได้ 3-4 วัน หรืออาจนานเป็นเดือน เมื่อในห้องมีสภาพอากาศที่เหมาะสม การสัมผัสกับเชื้อโรคในช่วงร่างกายอ่อนแอและมีปริมาณมากพอ จะทำให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบนได้

ดูตัวเป็นๆของตัวไรฝุ่นที่นี่ ตัวไรฝุ่นซุกในผ้า พรม โดยเฉพาะในฟูกที่นอน มีการวิจัยพบว่าใต้ฟูกคนไทยจะมีมากกว่า 2 ล้านตัว ที่คนไทยต้องนอนอยู่ร่วมกัน