วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การป้องกันและลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่

เป็นหวัดป้องกันได้ด้วยการกิน

ภาวะอากาศของไทยและทั่วโลกเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง ทำให้หลายคนมีปัญหาสุขภาพกันมากขึ้น โดยเฉพาะโรคหวัด ส่วนจะเป็นมากเป็นน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิต้านทานในร่างกายของแต่ละคน ถ้าหากว่าร่างกายอ่อนแอหรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็มักจะถูกเจ้าเชื้อไวรัสหวัดจู่โจมได้ง่ายๆ




 
 
สำหรับปัจจัยที่ช่วยในการป้องกันหวัดที่ให้ผลเสมอก็คือหมั่นล้างมือให้สะอาดและใช้ช้อนกลาง พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เสริมภูมิต้านทานให้ร่างกายด้วยอาหารที่มีสารอาหารในการป้องกันหวัด เช่น อาหารที่มีวิตามินซีสูง ดื่มน้ำมากๆ ทั้งนี้ มีอาหารหลายชนิดที่อาจให้ผลในการช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน ป้องกันหรือลดความรุนแรงของหวัด ดังนี้

๑. อาหารรสเผ็ดรวมทั้งเครื่องเทศ เช่น กระเทียมต้นหอม พริก ลดอาการคัดจมูก ช่วยให้หายใจโล่งขึ้น

๒. กระเทียม ช่วยลดอาการหวัดจะเติมลงในอาหารหรือเคี้ยวสดๆ วันละ ๑-๒ กลีบก็ได้

๓. ดื่มน้ำมากๆ แทนที่จะดื่มกาแฟ น้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน อาจดื่มน้ำผลไม้คั้นสดบ้างเพื่อเสริมวิตามินซี เครื่องดื่มร้อนที่ช่วยได้ เช่น ชา น้ำมะนาวอุ่นๆ จะช่วยลดเสมหะได้

๔. ซุปไก่ร้อนๆ ช่วยลดอาการคัดจมูก อาจเติมผักหลายๆ สี เพื่อเพิ่มสารแอนติออกซิแดนต์ ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี

๕. สารต่อต้านอนุมูลอิสระ เช่น บีตาแคโรทีน(วิตามินเอ) วิตามินซี วิตามินอี ช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อ ผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แครอต ผักใบเขียวจัด ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูป มะละกอสุก เป็นต้น
 


ที่มา : facebook มูลนิธิหมอชาวบ้าน






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
 

หลักการพื้นฐานว่าอาการของไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย ไม่สามารถรักษาด้วยยาปฎิชีวนะเพื่อทำลายเชื้อโรค ต้องหาทางสร้างภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ให้ร่างกายฟื้นฟูระบบภูมิต้านทานกำจัดเชื้อไวรัสในร่างกายด้วยตัวเอง การเลือกทานอาหารแบบง่ายๆ จะบรรเทาอาการคัดจมูก หายใจโล่ง ได้ด้วยความร้อนแรงของรสชาด กลิ่นแรงระเหยเข้าจมูก ตลอดจนอาหารบางประเภทที่เร่งสร้างภูมิคุ้มกัน ... นอกเหนือจากนี้ อาจรับประทานวิตามินซี ขนาด 1 กรัม วันละครั้ง ทุกวัน ก็สามารถเพิ่มความต้านทานของร่างกายได้เช่นกัน

 
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
 
ไม่มีอะไรที่ฆ่าหรือทำลายเชื้อไวรัสไข้หวัดจริงๆหรือ ?

จากการวิจัยที่พบว่าอากาศบริสุทธ์ตามธรรมชาติ เช่น ในป่า บนภูเขา เราจะตรวจพบปริมาณไอออนในอากาศ มีทั้ง บวก (+) และ ลบ (-) ในปริมาณที่สูงมากๆ โดยจำนวนไอออนทั้งสองประเภทนี้จะมีมากในจำนวนที่เท่าๆกันด้วย
 
หากเราตรวจสอบปริมาณไอออนบวก (+) และ ลบ (-) ในที่มีมลพิษสูง เช่น ในเมือง ตามถนน ผลการวิจัยพบว่าปริมาณไอออนเหล่านี้จะน้อยกว่าที่ควรจะมี เกือบ 10 เท่าตัวเลยทีเดียว
 
ทำให้นักวิจัยคิดค้นวิธีการสร้างไอออนทั้งสองประเภทขึ้นมา เลียนแบบกลไกสร้างอากาศบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ แต่เทคโนโลยี่ทางวิศวกรรมยังไม่สามารถเป็นไปได้ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา โดยนักประดิษฐ์สามารถทำได้แค่การสร้างไอออนบวก (+) หรือ ไอออนลบ (-) ออกมาได้เพียงอย่างเดียว อยากมีบ้างที่สร้างได้ทั้งคู่แต่ในปริมาณที่สูงไม่เท่ากัน

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี่ในศตวรรษที่ 21 ทำให้มนุษย์เราคิดค้นระบบสร้างไอออน เลียนแบบอากาศบริสุทธิ์ในธรรมชาติได้แล้ว โดยนักประดิษฐ์ของชาร์ป คอร์ปอเรชั่น ได้คิดค้นสร้างเครื่องกำเนิดไอออน ที่มีขนาดเท่ากล่องไม้ขีด อันทำงานแตกต่างจากเครื่องกำเนิดไอออนที่มีมาในอดีต กล่าวคือ เครื่องกำเนิดอนุภาคไอออนนี้ สามารถสลายไอน้ำ (H2O) ที่อยู่ในอากาศ มาทำให้เกิดไอออนบวก (+) และ ไอออนลบ (-) ในปริมาณที่สูงมากๆและในปริมาณที่เท่ากันอีกด้วย
 
 
เมื่อนักประดิษฐ์สามารถสร้างเครื่องกำเนิดไอออน ทำให้เกิดไอออนบวก (+) และ ไอออนลบ (-) ออกมาได้เหมือนธรรมชาติแล้ว แต่การเลียนแบบธรรมชาตินี้ จะทำให้อากาศสะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างไร เป็นสิ่งที่เขาต้องศึกษาต่อ เพื่ออธิบายต่อชาวโลกว่า อากาศสะอาดเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ไปมีผลอย่างไร ทำให้อากาศสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาได้  เมื่อได้คำตอบอันน่าพิศวงนี้แล้ว  จึงจะนำมาก่อเกิดประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างแท้จริง   

 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

จากการศึกษาของนักวิจัยชาร์ปพบว่า ไอออนบวก (+) กับ ไอออนลบ (-) ที่เกิดขึ้นมานี้ เมื่อล่องลอยในอากาศ จะรวมตัวกันเป็นอนุภาคไม่คงตัวที่ชื่อว่า แอคทีฟ ไฮดรอกซิล (active OH)  ไอ้เจ้าตัวนี้แหละที่เป็นพระเอก เพราะเมื่อมันเจอเชื้อโรคที่ไหน มันก็จะฆ่าเชื้อโรคที่นั่นทันที
 
 
วิธีการฆ่าเชื้อโรคก็แสนง่าย เพียงแค่ แอคทีฟ ไฮดรอกซิล (active OH) ไปทำลายผนังชั้นนอกของเชื้อโรค เชื้อโรคก็ตายแหงแก๋ อะไรมันจะง่ายปานนั้น เพราะเชื้อโรคบางตัวแข็งแรงจะตาย ขนาดเจอยาปฎิชีวนะ ก็ยังทำลายไม่ได้เลย แล้วทำไม แอคทีฟ ไฮดรอกซิล นี้ถึงทำลายเชื้อโรคในอากาศได้เก่งขนาดนี้เชียว

 
 
เขาศึกษาต่อ พบว่าผนังชั้นนอกของเชื้อโรคเหล่านี้ มีความเปราะบาง (ให้นึกถึงลูกโป่งใส่น้ำ) มีส่วนประกอบของไฮโดรเจนอะตอม ยึดกันเป็นผนังอยู่ ความที่พระเอกชื่อ แอคทีฟ ไฮดรอกซิล (active OH) มีความสามารถพิเศษ สามารถไปดึงไฮโดรเจนอะตอม (H atom) ออกจากผนังชั้นนอกนี้ได้ดี (เสมือนการเอาเข็มไปแทงลูกโป่งใส่น้ำ ก็จะแตกทันที)  เชื้อโรคก็จะแตกสลายในทันทีทันใด

 

แล้วสิ่งที่พูดมาเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ก็มีการทดสอบยืนยันที่อเมริกา ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ด้วยวิธีการวิเคราะห์แยกสารที่มีไฟฟ้าขั้นสูง (3D electrophoresis) พบว่าผนังชั้นนอกของเชื้อโรคนี้ได้ถูกทำลายจริง

 
การที่อากาศสะอาดบริสุทธิ์ธรรมชาติ มีปริมาณไอออนบวก (+) และ ไอออนลบ (-) ในปริมาณสููงมากๆและเท่าๆกันนี่เอง ทำให้ไม่พบเชื้อโรคคงตัวอยู่ได้ในอากาศ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ว่าแต่เชื้อโรคทุกชนิดจะเหมือนกันหมดหรือ  ???

เราส่องกล้องจุลทรรศน์อีเล็คตรอนก็จะเห็นได้ว่า โครงสร้างพื้นฐานของเชื้อโรคเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา กล่าวคือมีผนังชั้นนอกห่อหุ้มเหมือนกัน และข้างในก็เป็นของเหลว (ให้นึกถึงลูกโป่งใส่น้ำ) ความแตกต่างจะอยู่ความหนาหรือสิ่งที่อยู่ในของเหลวเท่านั้น  ส่วนประกอบของผนังชั้นนอกก็เหมือนกันหมดคือมีไฮโดรเจนอะตอม (H atom) เป็นแกนยึดผนังให้คงเป็นรูปร่าง  ฉะนั้น แอคทีฟ ไฮดรอกซิล (active OH) จึงสามารถทำลายผิวชั้นนอกของเชื้อโรคได้ทุกชนิด ตายซากไม่เหลือหรอ

ตัวอย่างของเชื้อโรคต่างๆที่ทำให้เกิดโรคในคน ในภาษาชาวบ้าน เช่น

เชื้อไวรัส  
เชื้อไวรัสไข้หวัด  เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่  เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ เชื้อไวรัสไข้หวัดนก  เชื้อไวรัสเมิร์สคอฟ  เชื้อไวรัสโคโรน่า  เชื้อไวรัสซาร์ส


เชื้อแบคทีเรีย   เชื้อวัณโรค  เชื้อปอดบวม  เชื้อปอดอักเสบ  เชื้อแผลฝีหนอง

 
เชื้อรา  เชื้อราขาว  เชื้อราดำ

 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เมื่อนักวิจัยชาร์ปพบข้อเท็จจริงที่ว่า แอคทีฟ ไฮดรอกซิล (active OH) สามารถทำลายเชื้อโรคในอากาศได้อย่างสิ้นเชิง  ก็มาถึงส่วนยากกว่าคือ  การพัฒนาเครื่องกำเนิดไอออนนี้ให้สร้างไอออนได้อย่างต่อเนื่อง  และสามารถใส่เข้าอุปกรณ์ที่มีมอเตอร์พัดลม ช่วยเป่าไอออนบวก (+) และ ไอออนลบ (-) ปริมาณสูงเหล่านี้ไปครอบคลุมพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่อง  เนื่องจาก แอคทีฟ ไฮดรอกซิล (active OH) ไม่คงตัว อยู่ในอากาศได้แค่ 5 วินาทีเท่านั้น

จึงเป็นที่มาของการพัฒนากล่องเท่ากลัดไม้ขีดดังกล่าว มาเป็น เครื่องกำเนิดอนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ (Plasmacluster ion generator) เครื่องกำเนิดอนุภาคนี้สามารถพ่นไอออนบวก (+) และ ไอออนลบ (-) ได้เท่าๆกันและต่อเนื่อง จึงนำมาใส่ในเครื่องฟอกอากาศที่มีมอเตอร์พัดลม เป่าไอออนทั้งคู่ออกมาจากเครื่อง กระจายครอบคลุมทั่วห้อง ทุกซอกมุมที่ลมพ่นไปได้ถึง (ภายใน 5 วินาที)  เสมือนเกิด Plasmacluster zone ที่เชื้อโรคไม่สามารถคงอยู่ได้เมื่อเข้ามาในอาณาเขตนี้

 
นับเป็นนวตกรรมของการทำให้อากาศสะอาดบริสุทธิ์แบบธรรมชาติ  ด้วยการใช้เครื่องฟอกอากาศระบบพลาสม่าคลัสเตอร์ (Plasmacluster air purifier)  ที่มีการฆ่าเชื้อโรคทางอากาศ  เพิ่มเติมจากเครื่องฟอกอากาศทั่วไปที่มีแค่แผ่นกรองอากาศระดับ HEPA เท่านั้น

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อ้าวววว  แล้วเครื่องฟอกอากาศทั่วไป ก็ทำได้แค่กรองเองซิ  ไม่สามารถทำลายเชื้อโรคได้เนี่ย

ชื่อจริงของเครื่องฟอกอากาศก็คือ เครื่องกรองอากาศ นั่นเอง แต่คนทั่วไปเรียกรวมๆกันว่า เครื่องฟอกอากาศ  หลักการของมันคือ ใช้แผ่นกรองในการกรองอากาศ (ที่ถูกดูดเข้าไปในเครื่อง) แล้วใช้แผ่นกรองดักจับมลพิษ ไม่ว่าจะเป็น กลิ่น ฝุ่น เชื้อบางชนิด  ไม่ได้มีการทำลายแต่อย่างไร  (ให้นึกถึงการใช้แหดักจับปลา ยังไงยังงั้น) 

การใช้เครื่องกรองอากาศต้องมีการเปลี่ยนแผ่นกรองเมื่อมันตัน บ้านเราอาจต้องเปลี่ยนทุก 2-3 เดือนด้วยซ้ำ เนื่องจากมีฝุ่นมากๆในตัวเมือง  หากไม่มีการเปลี่ยนแผ่นกรองที่อุดตัน  เครื่องกรองอากาศเหล่านี้ก็เป็นแค่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งที่เก็บกักเชื้อโรค ฝุ่น อยู่ในภายเครื่อง  หากฝืนใช้งานต่อ ทำให้แผ่นกรองขาด เครื่องนี้ก็จะทำงานเป็นเครื่องพ่นฝุ่น พ่นเชื้อโรค แทนซะงั้น 

การมีแผ่นกรองหลายชั้นก็อาจเพิ่มประสิทธิภาพในการกรอง  ขณะเดียวกันก็ต้องมีการเปลี่ยนแผ่นกรองมากขึ้น  ค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย  (บางครั้ง ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแผ่นกรองจะสูงกว่าราคาเครื่องกรองอากาศด้วยซ้ำ แค่ใช้เพียงปีเดียว )

 
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

พัฒนาพลาสม่าคลัสเตอร์มาใช้เป็นระบบฆ่าเชื้อโรคในอากาศได้อย่างไร ???

การพัฒนาเครื่องกำเนิดอนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ (Plasmacluster Ion Generator) เริ่มจากรุ่นที่ 1 จนกระทั่งรุ่นที่ 7.5  ปัจจุบันสามารถผลิตไอออนได้สูงและต่อเนื่อง เป็นที่นิยมนำมาใช้ฆ่าเชื้อโรคในโรงพยาบาล โรงงาน โรงแรม ศูนย์การค้า ที่มีการแพร่กระจายของมลพิษสูงกว่าบ้านที่อยู่อาศัย  เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Plasmacluster Air Sterilizer 





จากการที่พื้นที่สาธารณชนหรือพื้นที่ควบคุมให้ปราศจากเชื้อโรค ไม่สามารถนำเครื่องโอโซน (Ozone) มาใช้ในพื้นที่ที่มีคนทำงานอยู่ได้  เป็นปัญหาเดียวกับการนำแสงอัลตร้าไวโอเล็ต (Ultraviolet) มาใช้ไม่ได้เช่นกัน เพราะทั้งสองตัวนี้เป็นพิษต่อร่างกายคน  เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในระยะยาวด้วย  การนำเครื่องฆ่าเชื้อโรคระบบพลาสม่าคลัสเตอร์ (Plasmacluster Air Sterilizer) เป็นทางเลือกที่ถูกนำมาใช้งาน ณ ปัจจุบัน


การทดสอบที่อเมริกา พบว่าอนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ (Plasmacluster ion) สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียตัวอย่าง ที่พ่นเข้าไปในห้องทดสอบเสมือนจริง  ขนาด 40 ลบ.ม. ได้ถึง 99.0% ภายในเวลา 38 นาที

นอกจากนี้ยังมีการทดสอบประสิทธิภาพของการฆ่าเชื้อโรคอีกมากมายจากสถาบันวิจัยทั่วโลก อาทิเช่น สถาบันไวรัสวิทยารีโทรสกรีน (Retroscreen Virology Center, England) , สถาบันโรคทรวงอก  ยืนยันว่าอนุภาคพลาสม่าคลัสเตอร์ทำลายได้ รวมถึงเชื้อโรคสายพันธ์ใหม่ อาทิเช่น โคโรน่าไวรัส ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ ไวรัสไข้หวัดนก รวมถึง เชื้อวัณโรค ที่จัดว่าเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อด้านต่อการทำลายด้วยยาปฎิชีวนะ แถมทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้ดีที่สุดอีกด้วย


แหล่งที่มา   http://www.thaichest.org/atat3/index.php?option=com_content&view=article&id=77:312&catid=30:articles&Itemid=42







 
 
 
 
 
 
 
 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น